Posted by windygallery | Filed under Photos
30 Days Photography challenge
26 Saturday Apr 2014
26 Saturday Apr 2014
Posted by windygallery | Filed under Photos
26 Saturday Apr 2014
25 Friday Apr 2014
Posted Photos
inได้มีโอกาสไปทำงานที่ปักกิ่ง (ประเทศจีน) เป็นครั้งแรกครับ
เจออะไรหลายอย่างที่น่าสนใจเลยจดบันทึกไว้เผื่อมีประโยชน์วันหลัง
รถ taxi ขนาดกลางๆ(ไม่ใหญ่ไม่เล็ก)สภาพไม่ใหม่เท่าไหร่แต่เหยียบกันเร็วมาก
ขับจากสนามบินเข้าใจกลางปักกิ่ง 90-100 km. ตลอดทาง
ที่นี่คนขับอยู่ฝั่งซ้าย ถนนวิ่งเลนขวา (งงๆเล็กน้อย)
มี printer เอาไว้พิมพ์ใบเสร็จติดรถกันทุกคัน ดูไฮโซดี
taxi ที่นี่เริ่มต้นที่ 13 เหรียญ (3 km. แรก) และบวก ทุก 1 km.
ถนนกว้างมวาาาาาาากกกกกกก… (เมื่อเทียบกับถนนในเมืองหลวงบ้านเรา)
และตึกในโซนใจกลางเมืองหลวง scale ใหญ่สลัดๆ
แต่ละตึกกะด้วยสายตาเดินกันมีเมื่อย!
ไม่รู้จะออกแบบให้ใหญ่ไปไหน
พระราชวังต้องห้ามสเกลใหญ่มากกกกกกกก
เดินกันน่องปูด น่องร้าวว แต่ไม่มีเหงื่อซักหยด (เพราะอากาศเย็นมาก)
ต้นไม้ด้านหน้าน้อยมาก แต่ด้านหลังพอมี
แดดเยอะแต่ไม่ค่อนร้อน เพราะอากาศเย็น
คนเยอะมาก…
แต่ทัวร์ที่นี่ก็แก้ปัญหาคนหลงได้ด้วยการใช้หมวก(คนละสี)
มีไกด์แบบอัตโนมัติด้วยนะ track ตำแหน่งที่เราอยู่จาก GPS แล้วก็เล่าเป็นฉากๆไปตาม
สิ่งก่อสร้างที่อยู่ใกล้เรา แต่ที่เซ็งคือพอเดินหลุดเขตปั๊บมันตัดเสียงไปเล่าเรื่องที่ใหม่เลย (- -‘)
พอพ้นเขตวัง
บ้านเรือนทั่วไปความสูง 1 ชั้นเป็นส่วนใหญ่
คนที่นี่ชอบกินโยเกิร์ตขวดขาวมาก (ลองแล้วไม่นิยม เพราะไม่ปกติกินโยเกิร์ต แต่คนอื่นว่าโอเค)
ตกดึกมีเห็นตั้งวงเตะ+ตบตะกร้อ(ประมาณลูกแบต+ปิงปอง+ลูกขนไก่และตระกร้อ)
สูบบุหรี่กันเยอะพอสมควร บารากุก็เริ่มมีตามผับ
คนเดินมาชวนเข้าร้านเยอะและตื้อเหมือนกันเป็นสไตล์เฉพาะตัวของที่นี่เลย
ขับรถกันงงๆ จอดริมถนนดูง่ายแต่ก็เป็นระเบียบ
คนที่นี่บีบแตรเหมือนแค่บอกเตือนกันเบาๆ ไม่เหมือนบ้านเราที่บีบแตรเหมือนด่าแม่
จักรยานเป็นที่นิยม แต่จักรยานติดมอเตอร์ไฟฟ้านี่ฮ๊อตมาก
ค่าโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินของเขา ครั้งละ 2 หยวน (ประมาณ 10 บาท! ถูกมาก)
แต่รถเมล์เขาหยวนเดียว! :O
รถเมล์ที่นี่เป็นรถเมล์ไฟฟ้ามีหางไปเกี่ยวสายไฟข้างบนที่โยงอยู่เหนือถนน
ในวนหยุดรถโล่งมาก วื่งทำความเร็วในดี (เวลาวิ่งบนถนนสายที่ไม่มีสายไฟก็พับเก็บได้ด้วย)
รถเมล์ที่นี่ใซส์ใหญ่กว่าบ้านเรา หรือไม่ก็เป็นรถสองตอน
เวลาขึ้นจะขึ้นตรงกลางรถ จะมีพนักงานเก็บตังค์ยืนอยู่ตรงข้างประตูกลาง
แล้วเวลาออกก็เดินไปลงประตูด้านหน้ารถ
เวลารอขึ้นรถก็จะมีเส้นบอกว่าเป็นแถวของรถเมล์สายไหน ดูเป็นระเบียบดี
รถยนต์ส่วนที่นี่มีหลายยี่ห้อ hundai, honda, mercedez, wolksken
ไม่ค่อยเห็น toyota, ford
สินค้าแบรนด์ราคาแพงกว่าบ้านมากกกกกกกก เช่น พวกนาฬิกาทั้งหลายแหล่
เสื้อผ้ายูนิโคล่แพงกว่าบ้านเรานิดหน่อย
มือถือและ notebook ของ Lenovo แพงมวากกก
ตั้งใจจะไปเดินหาซื้อ xiaomi แต่หาไม่เจอ
เดินดูมือถือ Samsung เห็นราคาก็ซื้อไม่ลง
สรุปซื้ออะไรเล่นไม่ได้เลย (ของบ้านเราราคาน่าโดนกว่ามาก)
Internet ที่นี่เข้า facebook, twitter, youtube, ingress, wordpress ไม่ได้
วิธีเลี่ยงแบบนึงคือ Roaming กลับไทย
สำหรับเรื่องอาหารการกิน
อาหารใน food course บนห้างประมาณ 20 หยวน (ร้อยบาทนิดๆ)
ปริมาณให้เยอะใช้ได้ แต่รสชาติไม่น่ากลับมาซ้ำอย่างแรง
ขอบคุณ Macdonald ที่ช่วยรักษาชีวิตไว้
(หลอดเขาออกแบบให้แคบมากๆเพื่อให้ดูดน้ำเต้าหู้ที่ร้อนมากได้ปริมาณน้อยๆจะได้ไม่ลวกลิ้น)
ไม่เห็นขนมพวกโดนัทอย่างดังกิ้นกับไอติมแบบ swensense เลย
เห็นแต่พวกน้ำแข็งใสใส่สีๆ ไม่ค่อยน่าทาน เลยไม่ได้ลอง
เป็ดปักกิ่งอร่อยดี!
น้ำชา(เก็กฮวย)+น้ำตาลก้อนกรวดอร่อยมากกกก
ไอติม 7 หยวน (มั้ง ถ้าจำไม่ผิด)
อร่อยอยู่นะ :P—
อาหารแปลกๆเพียบ #ไม่กล้าลอง
อันสุดท้ายนี่แนะนำๆ #หวังเหล่าจี่ อร่อยดีๆ #เห็นเพื่อนบอกว่าเข้าไทยมาแล้ว
อาหารเสฉวนอร่อยดี #มันส์ไปหน่อยแต่โออยู่
(*) สำหรับที่ปักกิ่ง ผู้ให้บริการเสริฟอาหารจะไม่รับเงินทิปนะครับ
เพราะเขาถือหน้าที่ในงานอยู่แล้ว เท่าที่เจอมาพนักงานเต็มใจให้บริการอย่างดีเยี่ยม
(ไปนั่งทานอาหารในร้านแฟรนไชน์ของญี่ปุ่น บางอย่างผมผสมเครื่องปรุงไม่ถูก
เขาก็มาช่วยดูแลและแนะนำวิธีปรุงให้อย่างดี)
แวะไปเดินเที่ยวชมหอสักการะฟ้า เทียนถัน
ตอนกำลังจะกลับเดินผ่านโซนก้อนหินที่ทำคล้ายลูกอุกาบาตเจ็ดลูก
เจอบรรยากาศนี้เข้าไปครับ
บรรยากาศเศร้ามาก
หมายเหตุผมอ่านและฟังภาษาจีนไม่ออก แต่เดาว่าเป็นที่ๆเขาประกาศตามหาคนหายกัน
ดูรูปแล้วเป็นช่วงคนอายุวัยรุ่น – วัยทำงานทั้งนั้นเลย (ดูจากเลขปีเกิด 198X และรูปถ่าย)
และสรุปสุดท้าย สาวไทยชนะเลิศครับ!
ซมซานกลับบ้านมาหาอาหารไทยกินเหมือนเดิม TvT
ทริปหน้าไปไหนดี? 🙂
20 Sunday Apr 2014
Posted Love
inว่าด้วยเรื่องของสุรากับหญิงมีครรภ์
เวลาที่คุณแม่ดื่มเครื่องเหล้า แอลกอฮอล์จะดูดซึมเข้าไปยังกระแสเลือด
และถูกส่งต่อไปยังทารกผ่านผ่านรกโดยตรง
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความพิการ, ใบหน้าผิดปกติ ปัญหาหัวใจ
น้ำหนักตัวทารกต่ำกว่าเกณฑ์ ปัญญาอ่อน หรือ เสียชีวิตของทารกได้
นอกจากนี้ยังมีผลกระทบระยะยาวหลังคลอด เช่น ปัญหาด้านการเจริญเติบโต
สมาธิสั้น ขาดความสามารถในการเรียนรู้ หรือปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ
และภายหลังจากการคลอด หากคุณยังให้นมแก่ลูก
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดก็จะยังถูกส่งผ่านไปทางนมที่ลูกดื่มได้เช่นกัน
ดังนั้น ในช่วงเวลา ก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ หลังคลอดและยังให้นมลูกอยู่
ควรละเว้นจากแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด
สรุปคือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเด็กทารก
บุหรี่
ควันบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายอยู่ในหลักหลายพันสาร
แต่ที่ร้ายแรงเป็นพิเศษแบบเน้นๆ มีสองตัวคือ Carbon monoxide กับ Nicotine
ผลเสียชัดๆคือ ทำให้ปริมาณ oxygen ที่ไปถึงตัวทารกลดลง ส่งผลโดยตรง
ต่อการเจริญเติบโตของทารก และทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งทำให้ปริมาณ
สารอาหารที่ส่งผ่านไปยังทารกลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น
คำแนะนำ คือหยุดสูบบุหรี่ เพื่อปกป้องลูกน้อยของคุณจากสารเคมีมีพิษครับ
ยา
เรื่องง่ายๆที่มีอันตรายมากกว่าที่คิดเรื่องนึงก็คือ การใช้ยาทั่วไปนี่แหละครับ
เพราะคนทั่วไปมักไม่รู้ว่า ยาที่เราใช้ยามปกติบางตัวมีผลข้างเคียงถึงทารกในครรภ์
มากกว่าที่คนทั่วไปคิด มียาเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ผ่านการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย
ต่อหญิงมีครรภ์ แต่ยาส่วนใหญ่พบว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง(เมื่อเทียบกับประโยชน์ของตัวยา)
และยาอีกหลายชนิดที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้หากพบว่าผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์
สำหรับยาบางตัว เช่น Accutane, Thalomid,
Soriatane ถือเป็นยากลุ่มที่มีอันตรายอย่างรุนแรงต่อทารก
ดังนั้นก่อนใช้ยาทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์ที่คุณฝากครรภ์ก่อนนะครับ
และไม่ใช้ยาใดๆถ้าหากจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่ควรต้องลอง
หมายเหตุ: สมุนไพรก็ถือเป็นหนึ่งที่สารที่มีความเสี่ยงเช่นกัน อย่าให้ความเชื่อว่ามันปลอดภัย
มาทำให้เกิดความเสี่ยงกับทารกนะครับ ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ของคุณก่อนเสมอ
ปลาปิ้ง
17 Thursday Apr 2014
Posted Photos
inTags
09 Wednesday Apr 2014
Posted Photos
inTags
07 Monday Apr 2014
Posted Love
inเนื่องจากอาหารมีผลต่อทารกในช่วงที่สร้างอวัยวะและส่วนต่างๆของร่างกาย
โดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์แรกๆของการตั้งครรภ์
การเลือกอาหารที่มีประโยชน์เลยเป็นหัวข้อแรกๆที่ผมอยากรู้
เพราะจะช่วยให้ง่ายในการเลือกกินมากขึ้น
และจากอ่านข้อมูลมา พื้นฐานหลักในการเลือกอาหารจะมีแค่ข้อเดียว คือ
กินอาหารให้หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหาร
หมายเหตุ: การกินเผื่อลูกนี่ไม่ได้หมายความว่าให้กินสองเท่าจากปกติ
แต่ให้เลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์เป็นสำคัญ
ในช่วงเวลาการตั้งครรภ์ แม้คุณแม่จะกินอาหารส่วนใหญ่ได้
แต่ก็จะมีอาหารบางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง/ผลข้างเคียง เช่น
– อาหารทะเล
แม้ว่าอาหารทะเลจะมีโปรตีน ธาตเหล็ก ไขมัน omega-3 ที่ช่วยในการพัฒนาสมองของทารกอยู่สูง
แต่อาหารทะเล โดยเฉพาะสัตว์น้ำมีเปลือกเช่น หอย,กุ้ง, ปลาบางชนิด ก็มีสารปรอทสูง
ซึ่งอาจมีผลร้ายต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารก
ปริมาณอาหารทะเลที่ปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์คือประมาณ 12 ounce (ประมาณ 0.34 กิโลกรัม) ต่ออาทิตย์
– อาหารดิบ
กรุณาหลีกเลี่ยง อาหารดิบ, ปลาดิบ, อาหารรมควัน, เนื้อ steak ที่ยังไม่สุกดี
และในการทำอาหารควรใช้ความร้อนมากพอที่จะทำให้อาหารสุก (โดยเฉพาะอาหารทะเล)
โปรดระวังเพราะอาการอาหารเป็นพิษในหญิงตั้งครรภ์มักจะหนักกว่าคนปกติ และอาจทำให้เด็กป่วยไปด้วย
สำหรับการบริโภคไข่ จะต้องใช้ความร้อนให้ไข่แดงและไข่ขาวแข็งเป็นก้อนก่อนบริโภค
เนื่องจากไข่ที่ยังดิบอยู่จะมีโอกาสปนเปื้อนของแบคทีเรีย salmonella ได้อยู่
(เคสนี้ อาจให้ระวังในโจ๊กบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ชอบกินไข่ลวกแบบที่ยังไม่สุกเต็มที่)
– ผักผลไม้ที่ยังไม่ได้ล้าง
ล้างเหอะกันเหนียว โดยเฉพาะผักผลไม้บ้านเราที่มีสารเคมีเยอะที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้
– ตับ
จริงๆแล้วตับนี่ดีต่อหญิงมีครรภ์เพราะมีวิตามิน A สูง แต่ถ้ากินมากไปจะทำให้เกิดพิษต่อทารก
สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัต (ไม่กินเนื้อกินแต่ผัก) มักจะมีสารอาหาร เช่น zinc, B-12, ธาตุเหล็ก,
Calcium และ Folic acid อยู่บ้างแล้ว แต่สำหรับโปรตีน, ธาตุเหล็กและแคลเซียม สำหรับทารก
อาจไม่เพียงพอ วิธีแก้คือบริโภคเนื้อปลา, ไข่ และนม เพิ่มเติมก็จะช่วยให้ได้สารอาหารครบถ้วนมากขึ้น
สารอาหารอื่นๆที่จำเป็น (นอกจากโฟลิกที่เขียนไปแล้ว)
1. Calcium
ช่วยให้กระดูกและฟันของทั้งทารกและคุณแข็งแรง
ระบบไหลเวียนโลหิต,กล้ามเนื้อและประสาท ทำงานเป็นปกติ
สามารถหาได้จากการบริโภค ผัก Broccoli, คะน้า, ถั่วเหลือง, นม
(โปรดระวังถ้ามีไม่พอทารกจะดึงเอาแคลเซี่ยมจากกระดูกของคุณแม่)
แต่การที่ร่างกายจะนำ Calcium ไปใช้ได้ด้วยอาศัยวิตามิน D
ซึ่งแหล่งวิตามิน D ที่ดีก็คือแสงอาทิตย์
คำแนะนำคือออกไปเดินรับแดดยามเช้าซักวันละ 15 นาทีก็โอแล้วครับ
ถึงจะไม่ใช่ผักแต่ร่างกายเราก็สังเคราะห์แสงได้วิตามิน D มาใช้ได้ครับ
(แต่ก็ไม่ใช่ไปยืนตากแดดตอนเที่ยงๆของบ้านเรานะครับ จะละลายเอาง่ายๆ)
2. Iron
ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และในหญิงมีครรภ์จะต้องการ
ธาตุเหล็กเพิ่มเป็นสองเท่าของปกติ เพื่อใช้สร้างเลือดเพิ่มขึ้นสำหรับทารก
และถ้าเลือดที่สร้างได้มีน้อย จะส่งผลให้การออกซิเจนไปล่อเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ
อาการที่สังเกตได้ง่ายคือ เมื่อยล้า อ่อนเพลียได้ง่ายกว่าปกติ
แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง คือ เนื้อสัตว์, สัตว์ปีก, ปลา
และกลุ่มที่มีรองลงมาคือ ธัญพืช, ถั่วและผลไม้แห้ง
สุดท้ายนี้ขอสรุปให้จำกันง่ายๆนะครับ
กินอาหารให้หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหาร
07 Monday Apr 2014
Posted Developer
inวันนี้ได้มีโอกาสไปร่วมงาน BigData – Hadoop & MapReduce
ที่เพื่อนโบ้ต (@nuboat) ทดลองจัดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ Oracle Corporation Thailand
ได้สาระที่น่าสนใจมาเยอะพอสมควร
เลยขอมาสรุปเก็บไว้เป็นความรู้ติดบล็อคไว้
เผื่อวันไหนต้องใช้จะได้หาง่ายใช้คล่อง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เนื่องจากโดยลักษณะงานประจำที่ทำ
ยังไม่ได้เข้ามาใกล้ในงานสายนี้ซักเท่าไหร่
หากมีข้อมูลใดผิดพลาดประการใดขอให้ทักท้วง
เพื่อแก้ไขให้ถูกต้องเหมาะสมตามที่ควรครับ
🙂
สาระที่น่าสนใจของงาน(ในมุมมองของผม)
มีสองประเด็น
1. What & why Big data ? และ
2. Hadoop ??
เอาประเด็นแรก ก่อน คือ อะไรคือคำว่า Big data และเราจะทำมันไปทำไม
ในปัจจุบันเราคงเห็นได้ชัดมากขึ้นว่า คนบนอินเตอร์เน็ต
ผลิตและใช้ข้อมูลต่อวันต่อคนมากขึ้นทุกๆปี เช่น
– เขียน status บ่นบน facebook เยอะขึ้น ถี่ขึ้น
– คอมเมนต์ like และ share ข้อมูลกันรัวๆ
– ดูคลิปจาก Youtube
– อัพรูปจาก Instagram
– สั่งซื้อของออนไลน์
– โอนเงินผ่าน Online banking
– Chat กันผ่าน LINE มากกว่าการส่ง SMS แบบเดิมๆ
พฤติกรรมเหล่านี้ทำให้เกิดข้อมูลมหาศาลให้กับ services ต่างๆบนโลกอินเตอร์เน็ต
นอกจากสาเหตุสำคัญที่ว่ามันตอบโจทย์การใช้งาน
ก็อาจเป็นเพราะตัวเน็ตเองก็เสถียรและเร็วขึ้นทุกปีด้วย
การที่ข้อมูลมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก ก็เลยตามมาด้วยปัญหาที่ว่า
“จะเอามันไปทำอะไร?”
– จะทิ้งมันดีไหม? เพราะเปลืองพื้นที่ storage และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา
– หรือจะเปลี่ยนมันเป็นประโยชน์อะไรได้บ้าง (จะได้ไม่รู้สึกผิดที่เสียตังค์เก็บมัน)
แล้วก็เลยมีคนหัวใส ที่เอาคิดว่า
ถ้าข้อมูลมันถูกสร้างมาจากผู้ใช้ มันก็ต้องสะท้อนลักษณะเฉพาะของผู้ใช้ออกมาได้
ดังนั้นก็เลยเอามันมาวิเคราะห์หาความต้องการของผู้ใช้เสียเลย ยกตัวอย่าง เช่น
ชายผู้หนึ่งชื่อ Taob (นามสมมุติ) ชอบไลค์เพจสาวสวยมาก
ระบบก็เอาเก็บเอาข้อมูลพฤติกรรมไปนั่งวิเคราะห์ แล้วก็สกัดออกมาเป็นข้อมูลสรุปได้ว่า
“ไอ้เจ้า user ชื่อ Taob (นามสมมุติ) คนนี้มันชอบเพจลักษณะนี้มาก ดังนั้นต่อไปเวลา
ที่มีเพจหน้าตาแนวๆนี้ ลองเอาไปแสดงในส่วนแนะนำ มันก็น่าจะกดเข้าไปไลค์แหงๆ”
หลังจากวันนั้น
โลกอินเตอร์เน็ตของพวกเราๆก็เปลี่ยนไปตลอดกาล
เราก็เริ่มเห็น เพจแนะนำบน facebook ที่ดันรู้แล้วเข้าใจความปรารถนาของผู้คน
เราเริ่มเห็น เว็บที่ user แต่ละคนเวลา login เข้าใช้งานแล้วข้อมูลหน้าแรกไม่เหมือนกัน
เราเริ่มเห็นอีเมล์แนะนำสินค้าจากเว็บ ecommerce ที่คอยถามเราว่า เราสนใจสินค้าใหม่ตัวนี้ไหม
และอีกร้อยแปดพันเก้าคำแนะนำ
ที่ระบบคอมพิวเตอร์ดันรู้ดีไปกว่าตัวเรา..
แถมช่วงหลังยังหนักข้อขึ้นไปอีก ด้วยการไปถามว่าเราชอบอะไรจากเพื่อนสนิท!!
“เอ็งอยู่กลุ่มเดียวกับมัน ชอบอะไรคล้ายๆกัน ถ้ามันชอบ แกก็น่าจะชอบนะ”
(นี่แหละเสียงกระซิบของระบบในปัจุบัน)
น่ากลัวไปไหมครับ?
คราวนี้มามองในฝั่งของคนทำงานด้านเทคโนโลยีบ้าง
ไอ้สิ่งที่พูดมาข้างบนน่ะ ฟังดูดีเชียว แต่เบื้องหลังมันทำได้ยังไงล่ะ??
ก่อนอื่นเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ ขอแบ่งข้อมูลออกเป็น 4 กลุ่ม ตามลักษณะโครงสร้างของมันก่อน
(สำหรับคนที่ไม่ใช่เทคนิค ข้ามเนื้อหาส่วนนี้ไปได้เลยนะครับ จะ geek ขึ้นล่ะ)
ข้อมูลมี 4 รูปแบบ (แบ่งแบบหยาบๆ)
1. มีโครงสร้างชัดเจน พวกฐานข้อมูล database ต่างๆ เช่น RDBMS
2. กึ่งมีโครงสร้าง (semi structure) เช่น JSON, XML
3. เหมือนจะไม่มีโครงสร้าง (quasi structure) เช่น text file
4. ไม่มีโครงสร้าง เช่น Image, Videos
ความแตกต่างของข้อมูลทั้งสีแบบนี้ส่งผลต่อวิธีการเก็บ และการนำไปใช้งานค่อนข้างมา
พวกมีโครงสร้างจะได้เปรียบเวลาค้น หรือเอาไปต่อยอด ในขณะที่พวกไม่ค่อยมีโครงสร้าง
จะเอาไปคิดคำนวณหรือทำอะไรก็มักจะลำบากกว่า ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราเก็บข้อมูลรายรับรายจ่ายของเราลงในตาราง excel อย่างดี
(เปรียบเสมือน table ใน database งามๆ)
พอเราอยากรู้ยอดรวมเงินที่เราใช้ในเดือนที่ผ่านมา
เราก็แค่กด sum ข้อมูลในช่วงที่ว่า (หรือใช้ SQL ที่มี where ชัดๆซักตัว)
เราก็จะได้คำตอบมาในเวลาไม่ถึงแปดอึดใจ (ยาวแค่ไหนหว่า?)
…
แต่ถ้าเราดันทะลึ่งจดค่าใช้จ่ายลงในสมุดไดอารีกระดาษ แถมยังบรรยาย
เป็นแบบพร่ำพรรณาโวหารว่าวันนั้นเราไปสวีตกับแฟนแล้วต่อด้วย
ไอติมสุดหรูในห้างดัง แล้วดันแยกเป็นสามเล่มตามความติสต์ในอารมณ์
พอถึงตอนจะหายอดรวม เราจะต้องใช้เวลาแปดวันในการนั่งไล่แกะ
fact ออกจากน้ำที่ไร้โครงสร้าง แบบโคตรเปลืองพลังงาน..
และความจริงก็คือ
ข้อมูลบน internet ที่เราสร้างขึ้นมาทุกๆวันนี้
ส่วนใหญ่มันดันอยู่ในรูปแบบที่โครงสร้างไม่ชัดเจนนี่เอง
(เรียกว่าไร้ระเบียบก็มากไป ต้องบอกว่ายุ่งเหยิง)
ก็เลยกลายเป็นที่มาของการออกแบบ software
ที่จะเอามาวิเคราะห์ข้อมูลที่ส่วนใหญ่โครงสร้างมันยุ่งแบบนี้
ในแง่ของความยุ่งนี้ จริงๆก็แยกได้อีกเป็น 3 แนว
1. Volume – เยอะมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก (นับ ก ไก่เอา)
2. Velocity – เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆตามเวลา เปลี่ยนแปลงเร็ว
3. Variety – รูปแบบของข้อมูลหลากหลายมาก และส่วนใหญ่มักไม่ใช่ incomplete data
และเป้าหมายของการแก้ปัญหาความยุ่งที่ว่านี้ก็คือ
เพื่อสกัดเอาสาระสำคัญที่เป็น Value ของข้อมูลออกมาใช้
ถ้าเทียบกับเว็บขายของก็เหมือนการเอาประวัติการใช้งานของลูกค้ามาตลอดสามปี
เพื่อมาวิเคราะห์หาว่าวันพรุ่งนี้ไอ้หมอนี้น่าจะซื้ออะไร และควรจะแนะนำโปรโมชั่นอะไรให้เขาดี
พอรู้มาถึงจุดนี้ โปรแกรมเมอร์ปกติตาดำๆก็จะเริ่มกุมขมับ ลมปราณพาลจะแตกซ่าน
กับปัญหาที่ว่า แล้วตูจะไปตรัสรู้ได้อย่างไร และเขียนโปรแกรมยังไงมันถึงจะตอบโจทย์
ให้การตลาดได้ชัดเจนตรงเป้าขนาดนั้น แถมยังต้องทำให้เร็วด้วย เพราะถ้าเกิดเขียนโปรแกรม
ที่ต้องคำนวณข้อมูลย้อนหลังเป็นปีๆ มันก็ต้องใช้เวลา process เยอะซิ
จะเอา realtime ได้ยังไง…
….
โชคดี ที่ปัญหานี้ไม่ได้มีแต่คนถาม
มีนักคิดนักเขียน(โปรแกรม)ท่านนึง นาม Nutch เขียนระบบนึงขึ้นมา
เพื่อทำเป็นระบบ search engine แล้วก็คิดค้นวิธีจัดการกับข้อมูลเว็บเพจมหาศาล
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคนิคที่เรียกกันว่า MapReduce
ที่แนวคิดหลักคือ การกระจายข้อมูลแยกออกไป
ทำกันหลายๆที่แบบขนาน แล้วเอาผลลัพธ์กลับมารวมกันสรุปเป็นคำตอบ
แล้วก็มีนักพัฒนาอีกสองคนชื่อ Doug Cutting กับ Mike Cafarella
มาปรับแต่งต่อให้กลายเป็น framework เพื่อให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้น
ในชื่อที่เรียกว่า Hadoop
หลักการทำงานของ Hadoop มีสองขั้นตอนใหญ่ๆ คือ Map กับ Reduce
Map
– มี Master node เป็นตัวหลักในการแบ่งข้อมูล(ที่คิดว่าเป็น) Big data ออกเป็นก้อนย่อยๆ
– ส่งข้อมูลแต่ละก้อนไปให้หน่วยประมวลผล (Worker node) ซึ่งโดยปกติจะมีหลาย node (เน้นจำนวนเยอะเข้าว่า)
– Worker node หาคำตอบของข้อมูลก้อนย่อย แล้วส่งคำตอบกลับไปให้ Master node
Reduce
– Master node รวมคำตอบของทุก worker node เข้าด้วยกัน
– จัดรูปแบบของคำตอบใหม่ ให้ตรงกับคำถามแรกสุดที่อยากรู้
ซึ่งจากภาพรวม แปลได้ง่ายๆว่า Hadoop จะเป็น framework
ที่ช่วยให้เราแตกงานไปกระจายทำในหลายๆเครื่องได้นั่นเอง
แต่สิ่งที่เรายังต้องคิดและทำก็คือ
– การเตรียมข้อมูล
– การกำหนดเงื่อนไขต่างๆเกี่ยวกับแบ่งข้อมูล, การกระจายข้อมูล
– วิธี process งาน (ว่าอยากได้อะไรจากข้อมูล ไม่มีใครตรัสรู้ได้ต้องเขียนเอง)
– รูปแบบของ key, value ที่เราจะใช้ (เพื่อเป็นแกนในการสรุปว่าเราต้องการอะไรจากข้อมูล)
จะเห็นได้ว่าสิ่งสำคัญคือ เราต้องพอมองภาพให้ออกก่อนว่า
เราจะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปย่อยเพื่อค้นหาอะไรออกมา
แล้วจึงโปรแกรมให้ระบบช่วยย่อยและหาคำตอบมาให้เราเอาผลไปใช้งานต่อได้
ประเด็นสำคัญคือ ถ้าเราไม่คิดให้ดี เราอาจมองข้ามประโยชน์จากข้อมูลที่มีไปได้ง่าย
และในแง่ของคนทำงานในสายเทคนิค สิ่งเหล่านี้ก็เป็นอาวุธใกล้มือที่ควรรู้วิธีใช้ไว้แต่เนิ่นๆ
เพราะถ้าเข้าใจประโยชน์ของมันก่อน เราจะได้ออกแบบโครงสร้างของข้อมูลในระบบ
ที่ยืดหยุ่น ไม่ซับซ้อนเกินจำเป็น เพื่อให้เอื้อในการนำข้อมูลที่มีอยู่
ไปใช้ต่อยอดได้ง่ายในอนาคต ไม่ต้องมารื้อ มาเคลียร์ข้อมูลเพื่อแก้ไขกันใหม่
ยามที่ฝั่งธุรกิจอยากต่อยอดสยายปีกมันออกไป
โดยสรุป เทคโนโลยีที่เริ่มจะส่งผลถึงแนวโน้มการทำธุรกิจที่รวดเร็วมากขึ้น
ค่อยขยับๆเข้ามาในวงการแบบรู้ตัวอีกที ก็หายใจรดต้นคอไปแล้ว
ถ้านักพัฒนาอย่างเราๆยังประมาท เผลออีกทีเราอาจจะโดนคนอื่นทิ้งห่างไปไกลลิบๆ
เรียนรู้ต่อไปอย่างสนุกสนานครับ
มีอะไรใหม่ให้ลอง เรียน รู้ และเล่นอีกเยอะแยะเลยครับ
ปล. Big data และ Hadoop ไม่ใช่พระเจ้า มันใช้แก้ปัญหาพวก Analytics ดี
แต่ไม่ได้เหมาะกับทุกปัญหาของการจัดการข้อมูล อย่าเอามันไปมั่วกับ database ทั่วไป
🙂
05 Saturday Apr 2014
Posted Developer
inวันนี้เดินเข้าไปสั่งอาหารตามสั่งร้านที่กินประจำเหมือนเคย
ต่างก็ตรงที่วันนี้สั่งใส่กล่องเพื่อไว้เป็นอาหารเช้าวันพรุ่งนี้
ก็เลยนั่งอยู่ใกล้จุดทำอาหารแทนที่จะนั่งตรงโต๊ะกินข้าวข้างในร้าน
นั่งมองพ่อครัวทำอาหารไปเพลินๆ ถือเป็นการดูดวิชาไปในตัว
อาหารที่ผมสั่งวันนี้ คือ ข้าวผัดหมูบะช่อ
เป็นเมนูที่ดูง่ายๆ แต่คนสั่งยังทำไม่เป็น
และนี่คงเป็นโอกาสดีที่จะได้เห็นขั้นตอนการทำในระยะอันใกล้
พ่อครัวสองคนมองใบสั่งอาหารเสร็จ (ร้านนี้มีสองกระทะและสองพ่อครัว)
คนนึงก็เดินไปหยิบกระทะมาตั้งไฟ แล้วก็ใส่น้ำต้ม
แล้วก็เดินไปตักหมูบดทีละช้อนๆ โยนใส่กระทะที่ตั้งไฟไว้
พ่อครัว#2 (อีกคน) ก็เดินถือชามไปใส่น้ำปลาข้างๆเตา
และหยิบไข่ตอกใส่ชามแล้วคนด้วยความคล่องแคล่ว
หันกลับไปหยิบกระทะอีกใบตั้งไฟแรงๆ ใช้ตะหลิวจ้วงน้ำมันตักใส่
ประมาณห้าหกวิต่อมา ก็เทไข่ที่คนได้ทีพรวดลงกระทะ
แล้วก็ควงกระทะหมุนๆให้ไข่กระจายเต็มพื้นที่ผิว
ในขณะเดี๋ยวกันพ่อครัวคนแรกก็ตักข้าวใส่จานรอไว้ข้างๆ
พ่อครัวคนที่สองหยิบข้าวเทพรวดใส่กระทะที่กำลังทอดไข่
แล้วก้าวหนึ่งก้าวไปหยิบผักมาหนึ่งกำโยนใส่กระทะ
เคาะตะหลิงสองที แล้วจ้วงตักเครื่องปรุงประมาณห้าอย่างในสามวินาที
พ่อครัวยกกระทะเขย่าสี่ห้าครั้ง เพื่อสะบัดให้ข้าวผัดได้รับความร้อนอย่างทั่วถึง
เสียงเคาะตะหลิวดังเป็นจังหวะหนักหน่วงและดังกังวาน
การผัดของกระทะที่สองเสร็จสิ้นทั้งหมดในเวลาราวๆนาทีเดียว
พ่อครัว#2 ก็ตักข้าวผัดที่สุกได้ที่ลงกล่องข้าวที่พ่อครัวคนแรกเปิดรอไว้
พอตักเสร็จก็หยิบน้ำมาเทในกระทะแล้วล้างอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่พ่อครัวคนที่สองก็ตักหมูบะช่อที่สุกได้ที่บรรจงวางลงใส่กล่องข้าวอย่างสวยงาม
ปิดกล่องใส่ถุง ส่งให้ลูกค้า
เป็นการปิดดีลอาหารตามสั่งหนึ่งจานในเวลาไม่น่าเกินห้านาที
กระบวนการทั้งหมดดูไม่มีอะไรที่เป็น watse เลยทั้งเวลาและพลังงาน
เป็น optimized process ที่ได้มาจากการฝึกฝนล้วนๆ
ดูเรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพสูง…
เป็นมืออาชีพในด้านการทำอาหารอย่างแท้จริง..
นั่งมองย้อนดูตัวเอง..
ถึงเวลาฝึกฝนตัวเองอย่างจริงจังแล้วซินะ…
Comfort zone มันทำให้ตัวเองหย่อนการฝึกฝนตัวเอง..
05 Saturday Apr 2014
Posted Love
in– กินอาหารหลากหลายที่มีวิตามิน selenium, zinc, folic acid (เรื่อง folic เขียนไว้แล้วทีนึง กลับไปดูได้)
– กินผักและผลไม้ให้มาก เพราะผักผลไม้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มคุณภาพของสเปิร์ม
– อย่าเครียด เพราะความเครียดจะทำให้ฮอร์โมนที่จำเป็นในการสร้างสเปิร์มลดลง (นอกจากนี้อาจจะยังทำให้ไม่สนุกตอนทำด้วย :P)
– ออกกกำลังกายสม่ำเสมอ ! (สำคัญมาก แต่คนส่วนใหญ่จะทำไม่ได้)
– รักษาระดับน้ำหนักให้เหมาะสม (ไม่อ้วนไป ไม่ผอมไป), น้ำหนักร่างกายที่พอเหมาะจะส่งต่อฮอร์โมนและเพิ่มสเปิร์มคุณภาพสูง