• About Me
  • My Slides

WindyGallery's Weblog

~ I am a normal man in quite imperfect little World.

WindyGallery's Weblog

Category Archives: IDeas

How to get users?

28 Saturday Nov 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

Technology adoption lifecycle, tipping point, user

iDeas (1)

กลุ่มผู้ใช้ที่เข้ามาใช้งานในระบบแบ่งออกเป็นหลาย seqment

กลุ่มแรกๆที่เข้ามาลองใช้งาน มักเรียกว่า Inventors (1) กับ Early adopters (2) สองกลุ่มนี้กล้าลองเล่นอะไรใหม่ๆ เข้าใจเทคโยโลยีและปัญหาได้ดี ยอมรับความไม่สมบูรณ์บางอย่างได้มากกว่า user ทั่วไป เป็นกลุ่มที่ให้ feedback ได้ตรงไปตรงมา

ในกลุ่ม Early adopters จะมีกลุ่มคนเล็กๆ 3 ประเภทที่มีอิทธิพลอย่างสูงมากต่อการกระจายตัวของผู้ใช้ใหม่ๆ คือ

– ผู้รู้ (Maven) – คนผู้เข้าใจแก่นสารของสิ่งที่ต้องการใช้/บอกต่ออย่างไม่ปิดบัง เป็น influencer ที่คนฟังพร้อมจะรับฟังและทำตามอย่างเชื่อใจ

– ผู้เชื่อมโยง (Connector) – คนกลุ่มน้อยที่มีพรสวรรค์ในการคบค้าผู้คน สามารถกระจายข่าวได้มีประสิทธิภาพกว่าคนทั่วไปมาก

– นักขาย (Salesman) – กลุ่มคนที่ทำให้เชื่อในสิ่งที่ต้องการสื่อสารได้ดีเป็นพิเศษ (ทั้งภาษากาย, อารมณ์, ภาษา, หน้าตา)

กลุ่มถัดมา คือ Early Majority (3) จะเป็นกลุ่มผู้ใช้ที่ได้มาจากการกระจายตัวของกลุ่มพิเศษใน Early adopters กลุ่มนี้จะกลายเป็นมาเป็นผู้ใช้หลักของระบบ โดยมากพฤติกรรมมักจะไม่ซับซ้อนเท่าสองกลุ่มแรก แต่จะมีทนทานต่อปัญหาน้อยกว่าสองกลุ่มแรกมาก และไม่ค่อยยอมรับการเปลี่ยนแปลง

 

คำถามที่น่าสนใจ

  1. จะหากลุ่ม inventors, early adopters จากไหน? 
  2. จะหา user ที่มีลักษณะของ maven, connector, salesman และส่งเสริมประสิทธิภาพจากคนกลุ่มนี้ด้วยวิธีอะไร? 
  3. ความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมการใช้งานของสองกลุ่มแรกกับ early majority มีอะไรเป็นนัยสำคัญ?

[Book] ไม่ต้องฉลาดก็มองเห็นโอกาสได้มากกว่าคนอื่น

09 Sunday Aug 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

idea, opportunity

IMG_20150809_165717

ชื่อหนังสือ: ไม่ต้องฉลาด ก็มองเห็นโอกาส ได้มากกว่าคนอื่น
ผู้เขียน: โคมิยะ คาสูโยชิ
สำนักพิมพ์: welearn

เนื้อหาหลักของหนังสือเล่มนี้ ชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างของคนที่มองเห็นประเด็นที่คนทั่วไปมองข้าม และอธิบายถึงวิธีฝึกฝนความสามารถนี้ผ่านพฤติกรรมเล็กๆน้อยๆที่คนทุกคนทำได้

ประเด็นสำคัญที่น่าสนใจในเล่ม

  • สาเหตุที่มองไม่เห็น
  • แบบทดสอบภาพในหัว
  • เหตุจูงใจเล็กๆน้อยๆ
  • อคติ และกับดักความคิด
  • สันนิษฐาน
  • วิเคราะห์เศรษฐกิจจากรถไฟ
  • ตรวจสอบสันนิษฐาน
  • โจทย์ของผู้อำนวยการสวนสัตว์
  • ทำไมธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาในภาวะอัตราเกิดต่ำถึงทำกำไรได้มากกว่าธุรกิจดูแลผู้สูงอายุที่กำลังขยายตัว
  • โฆษณาที่หายไปบอกอะไร
  • วิธีแยกแยะร้านอาหารที่ทำกำไรได้
  • วิธีเดายอดขายของบริษัท
  • วิธีฝึกความช่างสังเกต
  • Product Portfolio Management
  • ประโยชน์ของการสะสมความรู้
  • วิธีวิเคราะห์เศรษฐกิจจากหนังสือพิมพ์
  • การดูสิ่งปกติมากๆ
  • การสะสมประสบการณ์การแก้ปัญหาอย่างถึงที่สุด
  • ความสนใจที่หลากหลาย
  • ความสนใจอย่างลึกซึ้ง
  • เทคนิคการลดข้อมูล
  • ความสุข

ระดับความน่าอ่าน: 98%
ความเห็น: ควรค่าแก่การอ่านยิ่ง

[Book] Google + Happiness

31 Sunday May 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

book, google, happiness, review

IMG_20150531_150024คิดอย่างผู้นำ ทำอย่าง Google
by Eric Schmidt & Jonathan Rosenberg
ความหนา 364 หน้า

ตอนแรกที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมานึกว่าจะเป็นชีวประวัติของ Google แบบที่หนังสือของบริษัท tech startups อื่นๆชอบทำ แต่เปล่าเลย หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เน้นประวัติ แต่กลับสรุปแนวคิดการทำงานที่ Google มองว่าเวิร์คและมีประโยชน์จากมุมมองของ CEO และหัวหน้าฝ่าย Products และหยิบออกมาเล่าเป็นหัวข้อสั้นๆ ตัวอย่างง่ายๆแต่น่าสนใจ

ประเด็นหลักของหนังสือเล่าถึงศักยภาพของคนกลุ่มที่มีอุปนิสัย/ลักษณะที่จะส่งเสริมนวัตกรรมและองค์กร (ในหนังสือจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า สมาร์ตครีเอทีฟ) วิธีคิด วิธีการทำงานร่วมกับคนกลุ่มนี้ และรวมไปถึงวิธีรักษาคนกลุ่มให้อยู่กับองค์กรเพื่อสร้างสรรค์ผลงานที่ยิ่งใหญ่ออกมา

ในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆของเนื้อหา ผู้แต่งได้สอดแทรกพฤติกรรมในองค์กรบางอย่างที่ทำลายประสิทธิภาพของการองค์กรที่ขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่ (ตัวอย่าง เช่นหัวข้อ อย่าไปฟังพวกฮิปโป, กฏเลขเจ็ด, ไล่เนฟออกไป รักษาดีวาไว้)

นอกเหนือจากปัญหาเรื่องการบริหาร, การตลาดและสงครามกับการเซนเซอร์ของจีน ผู้แต่งยังพยายามชี้ให้เห็นถึงความสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงเทคนิคว่ามีความสำคัญกว่าผลวิจัยทางการตลาดและส่งผลต่อวงการได้มากขนาดไหน รวมถึงข้อดีของแนวคิดการสร้างเทคโนโลยีแบบเปิด (เวบการศึกษาที่ถูกยกในหัวข้อนี้คือ Khan Academy ที่มีเป้าหมายว่า การศึกษาชั้นดีระดับโลก ฟรีแก่ทุกคน ไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหน)

ปัญหาเกี่ยวกับการจ้างคนและวิธีการแก้ปัญหาที่ Google ทำได้ดีมากๆ (เช่น การทดสอบแบบ LAX, สัมภาษณ์แค่ 30 นาที, และเงื่อนไขที่จะไม่ยอมคุณภาพของการจ้างลง, ปล่อย M&M ไปและเก็บลูกเกดไว้)

วิธีการแก้ปัญหาของเวลาที่คนสายวิทยาศาสตร์ชนกันเอง (ในหัวข้อ “คุณถูกทั้งคู่”)
วิธีการบริหารการประชุมให้มีประสิทธิภาพ (ในหัวข้อ “การประชุมต้องมีเจ้าภาพ”)
วิธีการบริหารเวลาและทรัพยากร (ในหัวข้อ “ใช้เวลา 80% กับสิ่งที่สร้างรายได้ 80% ให้บริษัท”, “70/20/10”, “เวลา 20%” – สองหัวข้อนี้เล่าถึงวิธีการทำงาน prototype แบบต้นทุนต่ำของ Google ทั้งที่ตอนมีเงินมหาศาลแล้วด้วย)

ปัญหาการตั้ง KPI ที่ทั้งหลอกตัวเองและหลอกบริษัท กับการตั้งเป้าหมายแบบกำหนดวัตถุประสงค์ใหญ่ที่ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการทำ และไม่จำเป็นต้องทำได้ครบ 100% เพื่อกระตุ้นให้คนทำงานพุ่งไปยังเป้าหมายที่ใหญ่และส่งผลดีกว่าในภาพรวม

สรุปโดยรวม: 91%
เป็นหนังสือที่น่าอ่าน และเปิดมุมมองเกี่ยวกับการทำงานในวงการ IT & Tech ได้ดีทีเดียว

IMG_20150531_150014

ความสุข
ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์ (แกะดำทำธุรกิจ)
ความหนา 243 หน้า

เนื้อหาหลักในหนังสืออธิบายถึงแนวคิดในการสร้างความแตกต่างในทางความคิด เพื่อนำไปประยุกต์ต่อในการทำธุรกิจ โดยเลือกตัวอย่างดีๆมาเป็น input ใหม่ๆให้เห็นภาพชัดเจน

วิธีการเลือกคนที่จะทำธุรกิจด้วย

แนวคิดเกี่ยวกับการตัดสินใจ (ทั้งด้านความเร็วและการเลือกเรื่องที่ต้องตัดสินใจ)

วิธีการบริหารแบบ forward planning & scenario planning

รากฐานของความคิดสร้างสรรค์

สาเหตุของการเป็นคน “มีของ” และ “คุณภาพ”

ผลลัพธ์ลูกโซ่ของการคอรัปชั่นที่คนทั่วไปมองไม่เห็น (ที่มีต่อครอบครัวผู้ทำ)

2-pizza rule ของ Jeff Bezos (Amazon founder)

Pitch

การตัดสินใจจากความรู้สึกที่มีประสิทธิภาพกว่าตรรกะ

ผลลัพธ์ของการทำสิ่งที่ชอบด้วยความสนุก

การพุ่งเป้าที่ความเป็นเลิศ + วินัย + ความคิดสร้างสรรค์

ทำเพื่อทุกคน = ขาดจุดเด่น และมีแต่จุดด้อย เพราะขีดจำกัดในชีวิตจริงมีมากกว่าข้อดี

ขีดจำกัดและความสามารถในการเปลี่ยนแผน + ความคิดสร้างสรรค์ = new solution

Only the paranoid survives

กฏกติกา มารยาทในการประชุมของ Google

ประวัติของ Tesla บริษัทที่กำลังเปลี่ยนโลก(ไปในทางที่ดี)

สรุปโดยรวม: 93%
เป็นหนังสือที่อ่านง่าย เปิด และกระตุ้นให้เกิดความคิดในการพัฒนาตัวเอง

Agile Thailand 2015 (ภาค 2)

16 Saturday May 2015

Posted by windygallery in Developer, IDeas

≈ Leave a comment

Tags

docker, haskell, sketchnote

เก็บตก Agile Thailand 2015 (ต่อ) จาก Blog ที่แล้ว
คำเตือน Blog นี้ค่อนข้าง geek ถ้าสนใจเฉพาะแนว management ให้อ่านข้ามไป session ที่สามครับ

3. Joomla Continuous Delivery with Docker

Session speaker: Jirayut Nimsaeng (Dear)

Session นี้ว่ากันด้วยเรื่องของเทคโนโลยี Docker ที่กำลังมาแรงในตลาด server

ก่อนจะอธิบาย Docker ขอปูพื้นความเข้าใจของคำว่า “Virtual machine” (ที่จะเรียกกันย่อๆว่า VM) กันก่อนซักเล็กน้อยครับ

vm_icon

Virtual Machine คือ แนวคิดการจำลองระบบคอมพิวเตอร์ด้วย software ลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำงาน เช่น ถ้าคุณต้องการจะใช้งาน software ที่ต้องรันบน OS ซักตัวหนึ่ง วิธีทำแบบตรงไปตรงมาก็คือ ล้างเครื่องเพื่อติดตั้ง OS ที่จะใช้แล้วลงโปรแกรม ซึ่งยุ่งยากมาก

วิธีที่ดีกว่าก็คือการสร้างพื้นที่จำลอง(VM) ขึ้นมาแล้วติดตั้ง OS และโปรแกรมที่ต้องการลงไป VM พอใช้เสร็จก็ลบทิ้งไปได้เลยไม่กระเทือนระบบที่ใช้อยู่ หรือจะเซฟเก็บไว้เป็น image เอาไว้ใช้ในคราวต่อไปก็ได้

ปัญหาหลักๆของ VM ก็คือ มันเป็นการจำลองระบบทั้งระบบลงบนคอม (พูดง่ายๆก็คือลง OS ซ้อนลงบน OS อีกที) ประสิทธิภาพของมันก็เลยไม่ดีเท่าลง OS จริงๆ แต่ก็แน่ละถ้าต้องเลือกระหว่างนั่งลบระบบแล้วลงใหม่ทุกครั้ง VM ก็ยังเป็นทางเลือกที่ดีกว่าอยู่ดี

Docker คืออะไร ?

KuDr42X_ITXghJhSInDZekNEF0jLt3NeVxtRye3tqco

แนวคิดของ Docker เลียนแบบการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ทางเรือ ที่จะใช้ตู้ container เป็นตัวกลางในจัดเก็บสินค้ารวมกัน ทำให้สะดวกในการขนย้าย และเป็นมาตรฐานกลางร่วมกัน

Screen Shot 2558-05-16 at 7.09.52 PM

สำหรับในมุมของ software Docker ก็คือการรวมเอาโปรแกรมและสภาพแวดล้อมที่ใช้ทำงาน (เอาเฉพาะ program, library และ binary แต่ไม่รวมส่วน kernel) ไว้เป็นก้อนเดียวกันใส่ไว้ใน container เพื่อให้การติดตั้งและย้ายระบบไปเครื่องอื่นง่ายมากขึ้น

เมื่อไม่ต้องติดตั้งทั้งระบบลงไปเหมือนวิธีของ virtual machine การทำงานแบบ Docker จึงเป็นการใช้ physical จริง ไม่ต้องผ่านการจำลอง ส่งผลให้ประสิทธิภาพของระบบสูงกว่า VM มาก

และด้วยความเบาก็เลยช่วยให้สามารถสร้าง instance สำหรับทำงานได้จำนวนมากกว่าเมื่อเทียบกับ VM บน hardware เดียวกัน ดังนั้นเลยทำให้เกิดการต่อยอด เช่น การสร้างระบบที่ environment เหมือนกับ production ได้ง่าย, ทำซ้ำได้ตลอดเวลา และเร็ว!

นอกจากนี้ Docker ยังรองรับการ deploy แบบอัตโนมัติอีกด้วย (ผ่านทาง script ของ Docker เอง) และถ้านำไปทำงานร่วมกับ Automate testing เช่น robot framework ก็จะสามารถทำให้กลายเป็นระบบแบบ automate systems ได้ง่ายขึ้นมากเลย

ข้อมูลอ้างอิง: Slide เก่าของคุณ Dear
http://www.slideshare.net/winggundamth/joomla-continuous-delivery-with-docker

ข้อมูลเพิ่มเติมอื่นๆ
http://www.docker.com/whatisdocker/
https://www.blognone.com/node/56627
https://www.blognone.com/node/59681
http://en.wikipedia.org/wiki/Docker_(software)

Action items ส่วนตัว: ลองเล่น Docker, ฝึกทำ automated deploy, robot framework

4. Functional programming (Haskell)

Session speaker: Weerasak (ป้อ)

Haskell.sh-600x600

Haskell เป็นภาษา programming ชนิด functional programming!

พูดแค่นี้ คนส่วนใหญ่จะงง ว่ามันคืออะไร แล้วยังไง?

ถ้าอธิบายแบบหยาบๆ ก็จะได้ประมาณว่า
– วิธีการเขียนโปรแกรมไม่เหมือนภาษาที่ programmer ทั่วไปในตลาด
– วิธีการคิดและรูปแบบคำสั่งการเขียนก็ต่าง (ยกตัวอย่าง เช่น ไม่มีตัวแปร !)

ส่วนคำนิยามแบบละเอียดกว่า(หน่อย) ก็คือ
– มันเป็น programming language แบบ strong static typing
– เป็นภาษาที่มีความสามารถเด่นในการทำ lazy evaluation, pattern matching

วิธีการคิดและเขียนโปรแกรมจะต่างจาก procedural, object-oriented ในแง่ของการออกแบบโค้ด (วิธีที่ทางคุณป้อนำเสนอ คือ การเขียนเคส, มอง patterns ให้ออกแล้วยุบ!)

ซึ่ง code ของ Haskell ในการแก้ปัญหา เช่น quicksort, factorial, Fizzbuzz problems จะสั้นและตรงไปตรงมามากกว่าโปรแกรมด้วยภาษาอื่น เช่น java, C

และด้วยลักษณะการทำงานแบบ lazy evaluation ก็ทำให้ทำหลายอย่างแบบที่ programming แบบอื่นทำไม่ได้ เช่น ประกาศตัวแปรเป็นอนันต์แล้วทำงาน (โดยที่ไม่ต้องจองหน่วยความจำจนล้น) หรือการคำนวณ factorial โดยไม่ต้องทำการสร้าง stack จำนวนมากเหมือน java (ประหยัด meomory กว่ามากมาย)

http://yannesposito.com/Scratch/en/blog/Yesod-tutorial-for-newbies/

http://yannesposito.com/Scratch/en/blog/Yesod-tutorial-for-newbies/

ในแง่การทำงานแบบ concurrency
เนื่องจาก haskell ไม่มีตัวแปร (Immutable) เวลาทำงานแบบ concurrent จึงไม่ต้องใช้วิธีการแชร์ตัวแปร ไม่ต้องใช้การ block/wait แบบการทำ multi threads ในภาษาอื่นๆ เลยทำให้ optimize ได้มีประสิทธิภาพสูงมาก (เรียกกันว่า Haskell’s green threads)

ส่วนการนำไปใช้งาน
ภาษา Haskell (หรือ functional programming) มักจะนำไปใช้งานประเภท prototyping (เพราะทำงานได้เร็ว), งานที่ state ซับซ้อนมาก (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะกับ OOP), Safe multithreading

ข้อมูลเพิ่มเติม:
http://learnyouahaskell.com/chapters
http://stackoverflow.com/questions/1604790/what-is-haskell-actually-useful-for
https://wiki.haskell.org/Why_Haskell_matters

Action items: ทดลองใช้ Haskell แก้ปัญหา marketing

5. เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลการสื่อสารแบบ face-to-face ด้วยเทคนิค Sketchnote

Session speaker: หนุ่ม SPRINT3R

ในการคุยงานกัน วิธีในการสื่อสารแต่ละแบบมีประสิทธิภาพต่างกันมาก ยกตัวอย่างเช่น การการอีเมล์ ถือเป็นการสื่อสารแบบที่ bandwidth แคบกว่าการพูดคุยต่อหน้ากันมาก แต่บางครั้งการพูดคุยกันตัวต่อตัวก็ยังเกิดความเข้าใจผิดพลาดกันได้ วิธีที่ดีกว่า คือการพูดคุยประกอบกับการวาดภาพอธิบาย เพื่อแสดงความคิดให้ออกมาเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพื่อที่ถ้าคนที่คุยด้วยเห็นไม่ตรงกัน จะได้สามารถคุยเพื่อแก้ความเข้าใจผิดกันได้ทันที

Sketch note คืออะไร?

http://sketchnotearmy.com/blog/2015/4/7/the-sketchnote-workbook-featured-sketchnoter-jeff-bennett.html

http://sketchnotearmy.com/blog/2015/4/7/the-sketchnote-workbook-featured-sketchnoter-jeff-bennett.html

Sketch note คือวิธีการเขียนเรียบเรียงข้อมูลเพื่อสื่อสารความเข้าใจของตัวเองออกมาเป็นภาพ

สาระสำคัญในการเขียน Sketch note ประกอบไปด้วย

Title
การมีหัวข้อที่เด่นชัด จะช่วยให้คนดูเข้าใจประเด็นหลักที่จะสื่อได้ง่าย ส่วนการใส่รายละเอียดเพิ่มเติม เช่น ใครเป็นคนพูด ที่ไหน เมื่อไหร่ เป็น option เพื่อเสริมข้อมูลกันลืมได้ดี

Layout
การวางโครงสร้างหลักที่ดี จะช่วยให้พื้นที่เพียงพอที่จะใส่เนื้อหาที่จะนำเสนอ โดยปกติมักจะเริ่มจากบนซ้ายกระจายออก (basic) แต่มักทำให้เกิดการเอียงของน้ำหนักภาพได้ง่าย บางคนจะใช้วิธีกระจายออกจากตรงกลาง (เช่น mindmap) เรียงเป็นแถวแนวดิ่งลงไปเรื่อย วนออกเป็นก้นหอย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะมีเส้นนำสายตาช่วยที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้ผู้ชมสับสนลำดับของข้อมูล(ในกรณีที่ลำดับสำคัญ)

http://nuggethead.net/2013/09/preparing-sketchnote-format-visual-flow-and-materials/

http://nuggethead.net/2013/09/preparing-sketchnote-format-visual-flow-and-materials/

Content
วิธีการเปลี่ยนข้อมูลให้น่าสนใจหลักๆ มีหลายวิธี เช่น ย่อให้เหลือแค่ Keyword สำคัญแล้วเน้น หรือ เปลี่ยน keyword ให้กลายเป็นรูปภาพ/สัญลักษณ์ วิธีนี้ทำให้ผู้ชมย่อยง่าย และจำประเด็นได้ดีกว่าการใช้ข้อความล้วน
เพราะสมองคนเราจับภาพได้เร็วกว่าตัวอักษร และเรายังเลือกใช้ขนาดของ text และสี เพื่อแบ่งแยกน้ำหนักของเนื้อหาให้แตกต่างกันได้อีกด้วย

http://graphitemind.com/post/19803717908/keeping-with-the-good-internet-theme-here-did

http://graphitemind.com/post/19803717908/keeping-with-the-good-internet-theme-here-did

Container
นอกจากนี้ เรายังสามารถใส่กรอบ หรือขอบเขตเพื่อแบ่งพื้นที่หรือเน้นย้ำใจความสำคัญของเนื้อหา หรือเพิ่มความน่าสนใจได้ เช่น ใส่กรอบข้อความกับประโยคคำถาม หรือกรอบรูปร่างแปลกๆเพื่อกระตุ้นความสนใจเช่น กรอบรูปภาพ (แล้วแต่ context และจินตนาการของผู้เขียน)

http://sachachua.com/blog/series/sketchnote-lessons-2/

http://sachachua.com/blog/series/sketchnote-lessons-2/

ทั้งนี้ ขอให้อย่าลืมว่า สาระสำคัญของ sketch note คือไว้เพื่อสื่อสารเพิ่มความเข้าใจระหว่างกัน ดังนั้นไม่มีรูปแบบตายตัว และการฝึกฝนบ่อยๆจะช่วยทำให้เราสามารถจับประเด็นสำคัญและเรียบเรียงความคิดในการนำเสนอข้อมูลได้ดีขึ้นครับ 🙂

ข้อมูลเพิ่มเติม:
http://nuggethead.net/tag/sketchnote/
http://graphitemind.com/
http://sachachua.com/blog/series/sketchnote-lessons-2/

Action items: ฝึกเอาไป map กับการเรียบเรียงไอเดียเวลา present งาน

Agile Thailand 2015 (ภาค 1)

10 Sunday May 2015

Posted by windygallery in Developer, Events, IDeas

≈ Leave a comment

Tags

2015, agile, baby, coaching, listening

สรุปประเด็นน่าสนใจจากงาน Agile Thailand 2015 (ภาคแรกครับ)

1. Agile Dialogue

by Kulawat (Pom) Wongsaroj + Bee

https://www.flickr.com/photos/dkuropatwa/4612194068/

https://www.flickr.com/photos/dkuropatwa/4612194068/

Session นี้เป็นเรื่องของการฝึก skill “การฟัง” (ที่น่าสนใจมาก)
เวลาทำงานร่วมกันกับคนหมู่มาก ปัญหา conflict ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่การประชุมกันเพื่อแก้ปัญหามักมีสถานการณ์หลายๆอย่างที่ทำให้
การแก้ปัญหาไม่จบลงอย่างที่ควรจะเป็น บางคนอาจเคยเจอสถานการณ์ที่
เหมือนจะตะโกนใส่กันมากกว่าการพูดคุย หรือมีเกรียนตัวใหญ่ที่คอยแย่งพูด

การฝึกตัวเองในคลาสนี้ เพื่อช่วยให้รู้ตัวเองตลอดการประชุม รู้จักคุมจังหวะ
ไม่รีบผลีพลามยิงสวนขณะที่คนอื่นกำลังพูด วิธีการที่ง่ายและตรงไปตรงมาคือ
การกำหนด Rules ขึ้นมาร่วมกัน 3 ข้อ ที่จะช่วยกำกับ “สติ” ของทุกคน

ข้อแรก: พูดทีละคน 
เพื่อให้มีโอกาสได้ฟัง และ(จง)ตั้งใจฟัง

ข้อที่สอง: ไม่วิจารณ์ 
แต่ให้พูดในแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อเสริมไอเดีย ไม่ใช่มุ่งแต่จะทำลายความคิด/ไอเดียของผู้อื่น

ข้อที่สาม: ไม่ตัดสินความคิดคนอื่น
การฝึกคิดที่มุ่งตัดสินความคิดคนอื่นจะทำให้เรารีบคิดหาช่องว่างหรือแนวทางอื่นมาหักล้าง จนทำให้สติในการตั้งใจฟังสาระ “หลุด” จากผู้พูด (นี่คือหนึ่งสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนคุยกันคนละหัวข้อ เพราะไม่ตั้งใจฟังคนอื่นพูดให้จบก่อน แต่รีบแทรกพูด) กับคนที่มี ego สูงจะต้องหาทางลด ego เขาก่อน (อาจโดยลดตัวเองก่อนด้วย)

นอกจากเรื่องการฟังแล้ว ใน Session ยังขยายไอเดียออกไปครอบคลุมถึงเรื่องอื่นๆ
ของ Agile ด้วยอีกเล็กน้อย ขอสรุปเป็นประเด็นสำคัญตามความคิดเห็นของผมเองเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

  • Lean คือ วิธีการทำงานแบบที่มุ่งเน้นการลด watse ในกระบวนการ
  • Agile เป็นหลักการทำงานที่ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของ software development process ง่ายขึ้น (ซึ่งจะมีหายแนวทางย่อยและ practices ย่อย)
  • การที่ทีม commit งานไว้มากเกินไป = การทำงานแบบ overload ตลอดเวลา
  • เมื่อทำงานหนักมาก ไม่มีจุดพัก กำลังใจคนทำงานจะหมดเร็ว
  • เมื่อไม่มีเวลาพัก = ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองหรือเสริมศักยภาพใหม่ๆ
  • ทำให้ทีมท้อและพังได้ง่าย
  • การทำงานให้ได้ผลงานมากที่สุด ตอบโจทย์ใคร นายจ้าง? ทีม?
  • เมื่อ burn ชีวิตมากไป แล้วจะรักษา balance ของครอบครัว/การทำงานได้หรือ?
  • ถ้าคนทำงานไม่ Happy อะไรคือ goal ระยะยาวร่วมกัน
  • ปัญหาต้นๆของการคุยกับลูกค้าคือ ใช้ estimation = commit (ซึ่งมันคนละเรื่องกัน!)
  • ถ้าคุยกันภายในทีมรู้เรื่องดี จะทำให้ประมาณ velocity ของทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • คนทำงานด้วยกันจะประมาณเวลาได้ใกล้เคียงมากขึ้น
  • และในกรณีที่ estimate ผิด ต้องรีบ feedback ให้ลูกค้าเร็ว เพื่อให้ลูกค้าปรับแผน/ตัดสินใจ

Action items (สำหรับตัวเอง): ฝึกสติจับประเด็นตอนประชุมแก้ปัญหา conflict ให้ได้ตลอดเวลา

 

2. การ coach ก็เหมือนการเลี้ยงลูกนั่นแหละ

by Juacompe + Chawin

11164636_10206386492001766_2141718463379060806_o

Session นี้ว่าด้วยการสังเกตถึงการดูแลเด็กตัวน้อยๆคนนึง (ในช่วงที่กำลังพัฒนาพฤติกรรมขวบปีแรก) และนำมาเปรียบเทียบกับการโค้ชให้ผู้อื่น

ในช่วง 3 ปีแรกของอายุ จะเป็นช่วงที่เด็กกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว และสมองกำลังเริ่มเตรียมความพร้อมในการสร้างเซลล์ประสาทในแต่ละด้าน เช่น การควบคุมอารมณ์, ทักษะการเข้าสังคม, ภาษา (เป็นสาเหตุให้การฝึกภาษาใหม่หลังสามขวบทำได้ไม่ดีเท่าฝึกช่วงต้นอายุ)

(*) ข้อมูลอ้างอิง http://www.unicef.org/dprk/ecd.pdf

พัฒนาการในช่วงนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา และนี่เป็นธรรมชาติของเด็ก

หันมามองกลับกัน เรามักจะได้ยินคำว่า “คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง”
ซึ่งพอมาย้อนคิดดูอีกที มันอาจจะไม่จริงซะทีเดียวนัก เพราะที่จริงแล้ว คนเรามีความสามารถในการปรับตัว (adapt) เข้ากับสิ่งแวดล้อมสูงมากจนเราไม่ถือว่ามันคือการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถกินอาหารเช้าไม่ซ้ำกันแต่เราก็ไม่ได้มองว่ามันคือการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคำว่าเปลี่ยนแปลงจึงขึ้นกับขนาดของพฤติกรรมและความสำคัญที่ส่งผลต่อจิตใจผู้กระทำมากกว่าแค่ action เฉยๆ

ปัญหาของการโค้ชเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมคนทำงานจากแบบเดิมๆ(ที่มักประสิทธิภาพไม่สูง) ให้มาลองของใหม่ ถ้าอาศัยแค่การพูดหักว่าของเดิมไม่ดีเพื่อบังคับให้ลองเปลี่ยน จะทำให้เกิดแรงต่อต้านเล็กๆภายในใจ มากกว่าการให้ลองทำ แต่วิธีการเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารกลับโดยตรงได้โดยใช้ภาษาเป็นตัวกลาง

แล้วกับเด็กทำอย่างไรล่ะ?

11134127_10206386493441802_7130770212382136030_o

เรามักคิดว่าเด็กเล็กๆไม่เข้าใจการพูด แต่เราอาจมองข้ามไปว่าเด็กสามารถเข้าใจ body language (และฝึกฝนทักษะเพื่อเข้าใจได้เร็วมาก) การพูดคุย สัมผัส ปลอบ การชื่นชมเมื่อเขาทำถูกต้อง หรือให้กำลังใจเมื่อเขาทำผิดพลาด (ฝึกให้ positive ไม่ว่าจะ action จะ success หรือ failed) จะทำให้เขาค่อยๆมีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง และทำให้เขากล้าลองทำในสิ่งใหม่ๆมากขึ้น โดยไม่มีแรงต่อต้านเท่าการบังคับให้ทำ

และก็คล้ายกันกับการโค้ชทีม

ที่ body language มีผลช่วยให้ทีมเชื่อมั่นในตัวเอง แม้จะลองแล้วผิดพลาด แล้วกล้าที่จะลองไปทำอะไรใหม่ๆเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อ

หัวข้อย่อย1: ความแข็งแกร่งภายนอก vs. ความแข็งแกร่งจากภายใน

บางครั้งการแก้ปัญหา conflict ภายในองค์กร มักทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น พูดคุยหาข้อตกลง ยอมทำตามคำสั่ง ไม่ยอมแต่ไม่ทำ เลิก ลาออก ฯลฯ สิ่งแต่ละวิธีมักจะถูกเลือกขึ้นมาจากระดับความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานด้วยกัน (เช่น ถ้าสนิทกันก็อาจจะไปพูดคุยตกลงกันตอนกินข้าวได้ แต่ถ้าเกลียดกันอาจจะต้องหาใครมาไกล่เกลี่ยแทน)

evilboss

ในกรณีที่มีทางเลือกให้ใช้แก้ conflict โดยอาศัยผู้อื่น/สิ่งอื่นเข้ามาช่วย (เคสนี้จะเรียกกันว่า ความแข็งแกร่งจากภายนอก) เช่น ใช้ตำแหน่ง, อำนาจหน้าที่ทุบโต๊ะ, ให้ผู้ใหญ่กว่าบังคับ, กำลัง(หมายถึงกับเด็ก) สิ่งเหล่านี้มักทำให้แก้ปัญหาได้ง่ายกว่าการสื่อสารโดยใช้คำอธิบายความคิดและความรู้สึกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นคล้อยตาม (อันนี้เรียกว่าความแข็งแกร่งจากภายใน)

แต่การทำงานโดยอาศัยพลังภายนอกบ่อยๆ จะกลายเป็นการปล่อยให้ตัวเองไม่ได้ฝึกฝนความแข็งแกร่งจากภายใน และกัดกร่อนตัวเองไปเรื่อยๆ พอถึงวันนี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อำนาจหาย ตำแหน่งไม่มี ขาดผู้ใหญ่แบ็คอัพ คนที่ความแข็งแกร่งภายในน้อยก็จะเริ่มทำงานลำบาก

ดังนั้น ต้องฝึกให้ตัวเองสามารถแก้ปัญหา conflict ได้ด้วยตัวเองให้ได้
วิธีที่จั๊วะใช้คือ อธิบายเหตุผลและความรู้สึกประกอบกันในการสื่อสาร ไม่ใช้วิธีให้คนอื่นช่วย
และคอยเสริมให้ทุกคน(รวมทั้งเด็ก)มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่ามีคนคอยช่วยเหลือดูแลอยู่เสมอ เพื่อที่เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะมีความแข็งแกร่งภายในมากเพียงพอ ที่จะทำอะไรและแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

 

หัวข้อย่อย2: Emotional bank account

16177956936_f9aa24857a_z

https://www.flickr.com/photos/ms308/16177956936/in/album-72157625647271859/

ในการแก้ปัญหา บางครั้งเราก็อาจจะ focus ผิดจุด
เช่นเราอาจจะทุบโต๊ะเพื่อเอาผลงานให้รวดเร็วจนมองข้ามความรู้สึกของผู้ร่วมงานไป

ซึ่งทำลาย Balance ระหว่าง เป้าหมายร่วมกัน กับ ความสัมพันธ์ระยะยาว

ถ้ามองว่าอารมณ์ตอบสนองของคนเหมือนบัญชีธนาคาร (Emotional bank) การทำดี ชื่นชม ให้กำลังใจ สนับสนุน ก็เหมือนการฝากเพิ่ม ส่วนการด่า ประชด ไม่เห็นคุณค่าต่อกัน ทำร้ายความรู้สึก เป็นการถอน

เมื่อวันนึงที่ emotional ใน bank ติดลบ คนก็เกิด bias
พูดอะไรเท่าไหร่เขาก็จะไม่ฟัง พูดธรรมดาก็กลายเป็นประชด พูดด่าลอยๆก็นึกว่าด่าตัวเอง แล้วบรรยากาศการทำงานร่วมกันทุกอย่างก็จะแย่ลง

ทำผิดพลาดก็ควรจะขอโทษ ทำดีต่อกันก็ให้ขอบคุณ เพื่อรักษาอารมณ์ของผู้ร่วมงานบ้าง
จะแก้อคติกับใคร ขอให้เริ่มที่ตัวเราเองก่อน

เพื่อความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระยะยาวที่จะนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

Action items: ฝึกตัวเองให้ควบคุมอารมณ์ให้มั่นคง, long relationship is important than short goal

🙂

สัมภาษณ์เด็กน้อย

05 Sunday Apr 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

สัมภาษณ์

IMG_3150

นักข่าว: สวัสดีครับ เจตา
เจตา: อ้อแอ้ๆ

นักข่าว: ยังพูดภาษาไทยไม่ได้รึครับ
เจตา: อ้อแอ้ๆ (พยักหน้างึกงัก)

นักข่าว: โอเคครับ เพื่อความเข้าใจที่ง่ายขึ้นต่อผู้ชม ทางทีมนักข่าวได้เตรียมวุ้นแปลภาษาจากญี่ปุ่นมาละลายใส่นมขวดให้น้องเจตาดูดแล้วครับ จะได้คุยกันรู้เรื่อง
เจตา: ซู้ดดดดด… (ดูดนม)

เวลาผ่านไป 3 นาที (ยังกะมาม่าต้มสุก)

นักข่าว: สวัสดีครับ เจตา
เจตา: สวัสดีฮับคุณลุง

นักข่าว: เรียกน้าซิครับ
เจตา: (มองหน้า) สวัสดีฮับน้าลุง

นักข่าว: (- -‘)

นักข่าว: งั้น เรามาเข้าเรื่องกันดีกว่าครับ น้องเจตาเป็นใครเอ่ย?
เจตา: เป็นลูกครึ่งฮับ

นักข่าว: ลูกครึ่งไทยจีน?
เจตา: ครึ่งพ่อครึ่งแม่ฮับ

นักข่าว: เอ่อ…  งั้นปะป๊ากับมะม๊าเป็นใครเอ่ย?
เจตา: ปะป๊า @windygallery กับมะม๊าแอนฮับ

นักข่าว: มีคนบอกไหมว่าหน้าคล้ายใครมากกว่ากัน?
เจตา: มีคนบอกหน้าและปากเหมือนมะม๊า แต่ตาเหมือนป๊ะป๋าฮับ

นักข่าว: อายุกี่ขวบแล้วครับ ตอนนี้?
เจตา: 0.4246 ขวบฮับ

นักข่าว: กิจวัตรประจำวันมีอะไรบ้างครับ?
เจตา: ตื่น 6 โมงเช้ามากินนมกะมะม๊า แล้วไปเล่นกับอากงกับอาม่า ตกเย็นปะป๊ากับมะม๊าจะกลับมาอาบน้ำ และกล่อมเข้านอนฮับ

นักข่าว: ชีวิตมีแค่กิน นอน กับเล่นแค่นั้นรึ?
เจตา: นอกนั้น ก็มีถ่ายแบบนิดหน่อยๆกับปะป๊าทุกวันฮับ

นักข่าว: คิดยังไงที่มีปะป๊ากับมะม๊าเป็นตากล้องทั้งคู่?
เจตา: ตอนแรกก็สงสัยฮับว่าจะถ่ายอะไรหนักหนา แต่ตอนนี้เริ่มชินล่ะฮับ

นักข่าว: แล้วเบื้องหลังกล้องเป็นยังไง?
เจตา: ก็ร้องโวยวายตอนปะป๊าเอาแต่เช็คภาพล่ะฮับ แต่รูปช่วงโวยวายปะป๊าไม่ยอมโพส กลัวเสียลุค

IMG_3418-checker

นักข่าว: ได้ข่าวว่าชอบอาบน้ำกับปะป๊า?
เจตา: ก็เย็นดี อาบเสร็จแล้วมีแต่คนมารุมหอม

นักข่าว: ไม่กลัวภาพหลุดตอนโป๊บ้างหรือ?
เจตา: ไม่กลัวฮับ ทุกรูปก่อนโพสจะต้องเจอมะม๊าเซนเซอร์ทุกใบ?

นักข่าว: ทดสอบตัวเลขกันหน่อย 1 + 7 เป็นเท่าไหร่?
เจตา: ผมยังไม่ได้เรียนเลยฮับ

นักข่าว: รู้จัก ป.1 ไหม?
เจตา: ได้ยินปะป๊าบอกว่ามันคือ ชั้นประถมฮับ

นักข่าว: แล้วคิดเห็นยังไงกับ ม. 44?
เจตา: ไม่รู้ฮับ ยังเรียนไม่ถึง รอผมจบ ม. 3 ก่อนนะฮับ

นักข่าว: คิดว่าเงินสำคัญไหม?
เจตา: ถ้าพี่ไม่มี พี่อยู่ได้ใช่ไหมฮับ?

นักข่าว: แล้วเขาว่ากันว่าเศรษฐกิจช่วงนี้ไม่ค่อยดี เราคิดว่ารัฐบาลจะช่วยเราแก้ปัญหานี่ได้ยังไงครับ?
เจตา: ถ้าเราต้องรอรัฐบาลช่วยทุกอย่างไม่น่าจะดีนะฮับ และทำไมเศรษฐกิจบ้านเราต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาลอย่างเดียวด้วยล่ะฮับ

นักข่าว: แล้วถ้าเศรษฐกิจแถวยุโรปมันแย่มันอาจจะกระทบเศรษฐกิจบ้านเราหนักด้วย คิดเห็นยังไง?
เจตา: แปลว่า เศรษฐกิจเราเปราะบางและพึ่งพาชาวบ้านมากไปหรือเปล่าฮับ

นักข่าว: งั้นถ้าจะทำให้เศรษฐกิจบ้านเราแข็งแรง เจตาคิดว่าต้องเริ่มที่อะไร?
เจตา:หาทางทำให้เกษตรกรบ้านเราเพิ่มผลผลิตและลดการใช้ปุ๋ยให้เหมือนประเทศที่เจริญอื่นๆก่อนดีไหมฮับ ถ้าการเกษตรบ้านเราไม่แข็งแรง เรื่องต่อยอดอย่างอื่นคงหาจุดแข็งไปสู้ยาก และพอเขาล้ม เราจะได้ไม่กระทบหนัก

นักข่าว: ทำไมถึงคิดว่าเกษตรกรบ้านเรายังแกร่งไม่พอ?
เจตา: เคยได้ยินป๊าเล่าให้ฟังว่า มีการใช้ปริมาณยาและสารเคมีในการเกษตรบ้านเราสูงกว่าประเทศรอบข้างหลายเท่า(ยกเว้นเขมร) แต่ผลผลิตต่อไร่บ้านเราดันต่ำกว่าเขาหมดเลย แล้วก็ไม่ค่อยมีการเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิตทางเกษตรมีแต่ผลิตแบบเดิมๆเป็นเรื่อยๆ ซึ่งมูลค่าต่ำ แต่ค่าแรงบ้านเราเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนสู้ประเทศข้างๆไม่ค่อยแล้วฮับ

IMG_2921

นักข่าว: นอกจากเกษตรกรบ้านเราแล้ว มีอะไรที่เรายังไม่แข็งแรงอีก?
เจตา: มีอะไรที่เราแข็งแรงแล้วด้วยเหรอฮับ?

นักข่าว: งั้นเอาที่ส่วนกลางก่อนล่ะกัน คิดว่าระบบราชการเป็นยังไง?
เจตา: ได้ยินคนบ่นว่าไม่ค่อยมีประสิทธิภาพและมีคอรัปชั่นสูงฮับ

นักข่าว: ประสิทธิภาพของราชการนี่ควรดูยังไง ขอคำอธิบายหน่อย?
เจตา: เอาผลงานของแต่ละกระทรวงมาตั้ง หารด้วยงบประมาณแต่ละปี แล้วดูว่าคุ้มค่าแค่ไหนกับเงินภาษีที่ลงไปฮับ

นักข่าว: แปลว่าถ้าไม่มีผลงาน ก็จะไม่มีค่าอะไรเลยนะนั่น?
เจตา: แล้วจะเอาเงินไปทิ้งทุกปีทำไมล่ะฮับ

นักข่าว: แล้วคอรัปชั่นล่ะ แก้ยังไง?
เจตา: เอาแบบอเมริกาฮับ เห็นช่วงนี้เขาฮิต open data บ้านเราน่าจะลอกเขามาบ้างนะฮับ ให้เปิดเผยตัวเลขค่าใช้จ่ายของรัฐทั้งหมดว่าใช้ไปกับอะไรเท่าไหร่ โปร่งใสและตรวจสอบได้ แล้วถ้าใครโกงก็เอาออกพร้อมปรับลงโทษให้หนักและชัดเจนฮับ

นักข่าว: คิดว่านายกที่ดีควรเป็นอย่างไร
เจตา: เป็นอย่างคำขวัญวันเด็กที่ให้ฮับ

นักข่าว: แล้วถ้าทำไม่ได้ล่ะ?
เจตา: แค่นี้ยังไม่ได้แล้วจะหวังอะไรฮับ

IMG_3114

นักข่าว: เจตาเคยนั่งเครื่องบินบ้างยังครับ?
เจตา: ยังฮับ

นักข่าว: แล้วเจตาเห็นข่าวปัญหาเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยด้านการบินแล้วเจตาคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างครับ?
เจตา: ก็เขาแค่แจ้งว่าของเรายังไม่ดี ยังไม่ได้มาตรฐาน ผมแค่สงสัยว่าเราจะโวยวายไปทำไมฮับ ถ้าเรารู้สาเหตุแล้วก็น่าจะแก้ได้นี่ฮะ

นักข่าว: แล้วข่าวเรื่องสถานการณ์การบินไทยที่ย่ำแย่ตอนนี้ ควรแก้ไขยังไรดีครับ?
เจตา: เจตาสงสัยว่าถ้าปล่อยเจ๊งไปนี่ใครจะเดือดร้อนบ้างฮับ ถ้าเป็นคนไม่กี่กลุ่มที่ไม่เคยยอมเสียสิทธิ์พิเศษอะไรเลยแต่อ้างจะเอาภาษีของประเทศไปถลุงเรื่อยๆ เจตาว่าก็ปล่อยเจ๊งไปบ้างก็น่าจะได้ฮับ เดี๋ยวเจ้าอื่นที่เขาทำกำไรอยู่รอดได้ เขาก็พัฒนาขึ้นมาแทนที่เองฮับ

นักข่าว: คิดเห็นอย่างไรกับระบบการศึกษาบ้านเรา?
เจตา: เจตายังไม่ได้เข้าระบบเลยฮะ แล้วเจตาไม่เข้าได้ไหมฮับ เข้าแล้วจะดีอย่างไร?

นักข่าว: คิดเห็นอย่างไรกับธนาคารและวงการมือถือ
เจตา: ดูท่าอีกซักพักน่าจะเริ่มแย่งลูกค้ากันบ้าง และถ้าเมื่อไหร่มีปล่อยกู้ผ่านมือถือได้คงแย่งชิงตลาดสนุกกันพิลึกเลยฮับ

นักข่าว: รุ่นปะป๊าของเจตาใช้คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าๆตู้เย็นเครื่องเล็กๆ ถึงตอนเจตาเกิดมาคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าบัตรเครดิตแล้ว พอเจตาโตพอจะเข้ามหาลัย เจตาคิดว่าคอมพิวเตอร์ขนาดจะเท่าอะไร
เจตา: เท่าเหรียญบาทเล็กและอยู่แถวๆที่ส้นรองเท้าฮับ

นักข่าว: คิดเห็นยังไงเรื่องหวยชาเขียว?
เจตา: คนเขาค้าขายด้วยการตลาดหลอกล่อ ถ้าหน้ามืดตามัวซื้อกินเพราะหวังโชคดีก็คงต้องปล่อยให้เขาไปฮับ

นักข่าว: คิดยังไงเรื่องการรณรงค์ไม่สูบบุหรี่
เจตา: ดูแก้ปัญหาปลายเหตุไปนะฮับ ถ้ามันไม่ดีถึงขนาดต้องรณรงค์ ทำไม่ไม่ปิดโรงงานผลิตไปเลยล่ะฮับ

นักข่าว: เห็นข่าวกรุงเทพน้ำท่วมบ่อยๆนี่คิดยังไงบ้างครับ?
เจตา: สงสัยว่าคอขวดของทางระบายอยู่ตรงไหน และติดที่อะไร ใครตอบได้บ้างฮับ

นักข่าว: ถ้าจะทำให้กรุงเทพ น่าอยู่ ควรจะเริ่มที่ไหนดี
เจตา: ทำให้คนนอกเมืองเดินทางไปทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ สร้างฮับของคมนาคมเพิ่มหลายๆจุด แทนที่จะเป็นอนุสาวรีย์ชัย, จตุจักร กับ BTS ตากสิน และให้มีรถสาธารณะที่วิ่งพุ่งเข้าฮับได้เร็วและราคาถูก ลดปริมาณรถที่จำเป็นต้องเข้าเมืองให้ต่ำที่สุดแล้วก็เพิ่มต้นไม้และรักษาความสะอาดของแหล่งน้ำบ้านเราให้มากฮับ

นักข่าว: คิดเห็นยังไงเรื่องแม่ค้าบนทางเท้า
เจตา: ตอบตามตรง ผมคิดว่ามันเป็นสีสันยามค่ำคืนของบ้านเราเลยนะฮับ เพียงแต่บางจุดมันดูไร้ระเบียบไปหน่อย เลยทำการเดินทางเท้ามันไม่ flow (บางที่ก็ติดขัดมากไป)

นักข่าว: งั้นควรแก้ยังไงดี?
เจตา: สร้างมาตรฐานของระยะที่เดินได้ดีไหมฮับ บางจุดมันเป็นคอขวดเช่นทางหลัง BTS ไปต่อรถ พอทางมันแคบก็ระบายคนได้ช้า ถ้ากำหนดไว้ว่าโซนนี้ห้าม โซนนี่ขายได้แต่ห้ามเบียดพื้นที่ทางเดินเกินเท่าไหร่ๆก็น่าจะทำให้อะไรมันดีขึ้นได้โดยไม่ฝืนกันมากไปนัก

นักข่าว: เรื่องทางเดินเท้ามีอะไรควรทำอีก?
เจตา: อะไรคือทางเดินเท้าเมื่อยังมีรถมอไซต์ขึ้นมาวิ่ง?

นักข่าว: เจตาฟังเพลงบ้างไหม?
เจตา: ฟังมะม๊ากับปะป๋าร้องให้ฟังนิดหน่อยฮับ

นักข่าว: คิดว่าเพลงที่เพราะคืออะไร?
เจตา: เพลงที่ผมชอบและผมอยากฟังฮับ

นักข่าว: แล้วการฟังเพลงแล้วรู้สึกว่าทำนองมันเหมือนเพลงคนอื่นคิดว่าอย่างไรบ้าง?
เจตา: ศิลปินที่ดีน่าจะต่อยอดออกไปให้มันสร้างสรรค์ต่อฮับ การได้รับอิทธิพลจากผลงานคนอื่นบ้างมันเป็นเรื่องปกติ เจตาว่าต้องดูที่เจตนาเป็นหลักฮับ แต่ในฐานะผู้เสพ เอาที่ลุงสบายใจดีกว่าฮับ อย่าไปซีเรียสมากเลย

นักข่าว: แล้วคิดยังไงกับการเอาเนื้อหาของคนอื่นไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต?
เจตา: มองในแง่ดีมันก็ช่วยโปรโมต แต่ถ้ามองในแง่ร้ายคนคิดคนทำเขาจะเอาอะไรกินล่ะฮับ

นักข่าว: คำถามสุดท้ายแล้วครับ เจตา
เจตา: ฮับ

นักข่าว: คิดว่าชีวิต คือ อะไร?
เจตา: เพราะชีวิตคือชีวิต เมื่อมีเข้ามาก็มีเลิกไป มีสุขสมมีผิดหวัง หัวเราะหรือหวั่นไหว เกิดขึ้นได้ทุกวัน

นักข่าว: ไปนอนนะครับ
เจตา: ฮับ ฝันดีฮับคุณลุง

นักข่าว: น้า!
เจตา: (มองหน้า) สวัสดีฮับน้าลุง

IMG_3023

Malcolm Gladwell – What the dog saw

02 Monday Feb 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

gladwell, idea, inspiration, malcolm

11791573_91bde70979_o

ปกติผมเป็นคนอ่านหนังสือไม่มากนัก และไม่ค่อยหลากหลาย
อันเนื่องด้วยปัจจัยหลักสองอย่างคือเงินและเวลา
หลายครั้งที่แวะเข้าร้านหนังสือแล้วเดินเลือกหนังสือบนชั้นขายดีขึ้นมาดู แล้วพบว่าเนื้อหามันเป็นหนังสือ how-to สอนทำโน่นนั่นนี่ ผมก็จะวางมันลงไปสงบนิ่งบนชั้นต่อไปอย่างเงียบๆ เพราะโดยส่วนตัวรู้สึกว่าการป้อนอาหารใส่ปากแล้วจับกรามขยับเคี้ยวให้เลยมันดูไม่ได้ใส่ใจกับชีวิตมากไปหน่อย

ครั้นจะหาหนังสือที่กลั่นเอาแต่ภาพที่สร้างแรงบันดาลใจพลุ่งพล่านก็ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ แถมบางครั้งจริตคนทำกับคนเสพก็ไม่ค่อยจะสอดคล้องกันง่ายๆ

ช่วงปีที่ผ่านๆมาจำนวนหนังสือที่ผ่านเข้าตามาก็น้อยลง แต่ก็ล้วนแล้วแต่คัดสรรให้เหมาะกับสไตล์ของตัวเองอย่างจริงจังมากขึ้น (ซึ่งส่วนตัวก็ถือว่าโอเคอยู่)

ผมได้อ่านผลงานของ Malcolm Gladwell ครั้งแรก จากคำแนะนำของน้อง @sahasbhop ผู้ซึ่งนิยมเสพหนังสือแนวใกล้เคียงกัน ผลงานแรกของเขาชื่อว่า Outliers ซึ่งเนื้อหาของเขาทำให้มุมมองชีวิตบางด้านเปลี่ยนไปจากที่เคยเป็น ถือเป็นหนังสือที่ช่วยเปิดไอเดียและแนวคิดที่มาได้ถูกเวลามากในชีวิตช่วงนั้น

หลังจากเริ่มติดตามผลงานของ Malcolm ต่อเนื่องมาอีกสองสามเล่ม ผมก็เริ่มจับสไตล์งานเขียนที่โดดเด่นออกจากผลงานทั่วไปในตลาด เป็นแนวคิดที่เริ่มต้นง่าย แต่ไปต่อลำบากและเลียนแบบได้ยากยิ่ง

ประเด็นของเขาจะเริ่มต้นด้วยสิ่งต่างๆที่เรามักพบเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต(ของคนยุคปัจจุบัน) แต่เมื่อ Malcolm เริ่มหยิบยกคำถามในบางแง่มุมขึ้นมาถาม คำนิยามเราจะเริ่มสั่นคลอน และเขาจะเริ่มขุดคุ้ยเอาข้อมูลและรายละเอียดในมุมที่คนทั่วไปไม่รู้จะหามาจากที่ไหน เป็นข้อมูลที่มักเน้นไปในทางที่พิสูจน์ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์พร้อมข้อมูลอ้างอิงในมุมตรงข้าม และมักจะหักล้างความเชื่อหรือความรู้สึกเดิมๆเสียจนแหลกไม่เป็นชิ้นดี

และในหนังสือเล่ม what the dog saw
Malcolm ก็ใช้วิธีการแบบเดียวกันกับหนังสือเล่มอื่นๆ (blink, the tipping point, outliers)

เพียงแต่เล่มนี้ ความเชื่อมโยงของเนื้อหาแต่ละบทไม่ได้หล่อหลอมรวมเป็นแกนก้อนเดียวแบบเล่มอื่นๆ แต่กลับใช้ความหลากหลายของเนื้อหา ตัวอย่างและข้อมูลประกอบมหาศาลเข้ามาเปิดมุมมองให้กว้างกว่าชนิดที่ทั้งสามเล่มก่อนเทียบไม่ได้

ผมขอยกตัวอย่าง บางคำถามที่แกะออกมาจากหนังสือเล่มนี้ เพื่อให้ลองนึกภาพตามได้ง่ายขึ้นว่าผู้ชายคนนี้คิดและเล่าอะไรให้พวกเราฟังบ้าง

– ถ้าบริษัทอาหารจะทำสุดยอดซอสมะเขือเทศขาย จะทำอย่างไรให้ได้สูตรซอสที่อร่อยที่สุดมา และสุดยอดซอสมะเขือเทศที่คนทั้งหมดชอบมันมีอยู่จริงหรือ? ถ้าไม่อะไรคือซอสมะเขือเทศที่คนจะชอบ?

– ประวัติการออกแบบยาคุมกำเนิดที่แพร่หลายไปทั่วทั้งโลก ที่จริงๆแล้วมันไม่เป็นธรรมชาติ! การที่ผู้หญิงมีประจำเดือนทุกเดือนคือเรื่องปกติ จริงหรือ? และการมีประจำเดือนมาสม่ำเสมอทุกเดือนสร้างผลข้างเคียงร้ายแรงอะไรกับเราบ้าง? (ที่มันเพิ่งจะมาเกิดกับคนยุคปัจจุบันเพราะยาคุม)

– ทำไมคนบางคนถึงสามารถทำให้หมาเชื่อฟังได้ง่าย ในขณะที่บางคนหมามักจะขู่ใส่

– ทำไมการซื้อบ้านให้คนไร้บ้านอยู่ฟรีๆถึงคุ้มค่า (เมื่อมองในภาพรวม)

– เราเชื่อมั่นเครื่องมือวัดบางอย่าง(เช่นเครื่อง x-ray) มากเกินไปหรือเปล่า? การวินิจฉัยโรคในปัจจุบันยังมีตรงไหนที่เราคิดว่ามันดี (ทั้งๆที่จริงๆแล้วผลมันไม่ดีอย่างที่คิด)

– ผลงานเพลง/บทประพันธ์นี้ลอกเขามา หรือ ได้รับแรงบันดาลใจเพื่อสร้างสรรค์ต่อยอด? เรากำลังปิดกั้นโอกาสสร้างสรรค์หรืออ้างความเป็นเจ้าของที่ไม่ได้มีจริงๆหรือเปล่า?

– วิเคราะห์ความล้มเหลวของสถานการณ์เฉพาะหน้า ออกเป็นสองรูปแบบคือ ความคิดล้นหัว กับตื่นตระหนก ที่จะทำให้เรื่องธรรมดาๆกลายเป็นเลวร้ายสุดขีด ที่บางทีจะทำให้คนที่มีความรู้ความสามารถสูง ทำผิดพลาดซ้ำๆไม่รู้จบ

– ข้อดีของความขัดแย้งระดับที่พอเหมาะในวัฒนธรรมองค์กร

– อัจฉริยะส่วนใหญ่จะเป็นตอนหนุ่มจริงเหรอ ถ้าไม่อัจฉริยะตอนแก่จะมีเส้นทางอย่างไร และพิเศษกว่าอย่างไร?

– วิธีการวัดและเลือกคนเข้าทำงานปัจจุบันมีประสิทธิภาพสูงสุดจริงหรือ วิธีเลือกคุณครูที่สอนเด็กให้มีประสิทธิภาพเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง? ผลลัพธ์ของการเลือกสองตัวอย่างนี้จะเปลี่ยนคุณภาพของบริษัท/เด็กนักเรียนได้แตกต่างกันแค่ไหน?

– การรวมคนเก่งมาทำงานร่วมกัน และใช้วัฒนธรรมองค์กรแบบส่งเสริมแต่คนเก่ง จะทำให้องค์กรเดินหน้าได้ดีกว่าองค์กรที่มีคนหลายระดับความสามารถจริงหรือ ถ้าไม่ อะไรคือสิ่งที่มีอิทธิพลสูงกว่า?

– เวลาสองวินาที ประเมินคนได้แค่ไหน? และจริงแค่ไหน ?

https://www.flickr.com/photos/poptech2006/2966504303โดยสรุป หนังสือเล่มนี้ยังควรค่าแก่การแนะนำให้อ่านครับ ^^

Innovation Leader

17 Saturday Jan 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

innovation, leader

https://www.flickr.com/photos/jurgenappelo/5201275209

ช่วงนี้เพิ่งได้ลองสังเกตเห็นวิธีคิดงานของผู้บริหารระดับสูงสองท่าน
ที่มีวิธีทำงานและอุปนิสัยที่แตกต่างกันมาก
แต่แนวคิดในการสร้างสรรค์งานใหม่ๆออกมาในแนวทางคล้ายกันอย่างน่าสนใจ
ขอจดเก็บเอาไว้เป็นแนวทางให้ตัวเอง เผื่อถ้าวันหน้าจำเป็นต้องใช้จะได้ไม่พลาด

รูปแบบวิธี(ที่คล้ายกัน)ของผู้บริหารทั้งสองก็คือ

1. ข้อมูลกว้างและลึก
2. เลือกจุดที่จะกระโดดไปถึง
3. สร้างเงื่อนไขให้คนทำงาน
4. ให้ผู้เชี่ยวชาญในงานช่วยเก็บรายละเอียด

https://www.flickr.com/photos/cannedtuna/7991544274

ข้อแรก ข้อมูลกว้างและลึก
หมายถึง ในขณะที่กระแสตลาดโลกกำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ผู้บริหารเหล่านี้รู้เทรนของวงการ และมีข้อมูลเชิงลึกอยู่ในมือ รู้ว่าอะไรจะมาถึงเมื่อไหร่ ข้อดีข้อเสีย และคาดการณ์ผลกระทบต่อวงการได้ค่อนข้างแม่นยำ (สิ่งที่น่าสนใจต่อก็คือ คนเหล่านี้บริโภคข่าวสารจากที่ไหน และบริหารเวลาในการดูดซับข้อมูลใหม่ๆอย่างไร)

 

https://www.flickr.com/photos/kaykim/3883340152 ข้อสอง เลือกจุดที่จะกระโดดไปถึง
ในขณะที่คนทั่วไปรู้ข่าว เมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง และคอยปรับตัวตามสถานการณ์รอบตัว ผู้บริหารกลุ่มนี้กลับมองล่วงหน้าไปก่อนว่าอีกกี่เดือน จะเกิดผลลัพธ์อะไร และควรจะขยับองค์กรไปอยู่จุดไหนเมื่อเวลานั้นมาถึง ต้องเตรียมพร้อมอะไรบ้าง หรือจะชิงเปิดแนวรบด้านไหนเพื่อให้องค์กรพร้อมในตลาดที่เปลี่ยนไปไว โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกที่มี ช่วยลดความเสี่ยงและสร้างภาพของเป้าหมายที่ชัดเจนจับต้องได้ให้ลูกทีมเห็น

https://www.flickr.com/photos/spacesuitcatalyst/438010405

ข้อที่สาม สร้างเงื่อนไขให้คนทำงาน
โดยปกติ คนทำงานทั่วไปมักจะรอรับโจทย์จากหัวหน้า และคอยแก้ปัญหาในระดับรายละเอียดโดยไม่เข้าใจภาพใหญ่ที่กำลังจะไป จนทำให้ผลลัพธ์ออกไปมาไม่ตรงกับสิ่งที่ควรจะเป็น ผู้บริหารบางท่านจะใช้วิธีบีบบังคับเอาผลงานในแบบที่อยากได้ (ซึ่งดูเหมือนเอาแต่ใจ แต่ที่จริงผ่านการกลั่นกรองข้อมูลมามาก) แล้วให้ลูกทีมแก้ปัญหาและประติดประต่อผลงานให้ออกมาในแนวทางที่ควรจะเป็น ในขณะที่ผู้บริหารบางคนจะใช้วิธีวางโครงหลักของโจทย์แล้วให้ทีมงานเสริมในรายละเอียด แล้วคอยแก้ปัญหาที่ทำให้ทีมทำงานยากด้วยวิธีที่เหนือความคาดหมายของระดับคนทำงาน (บางทีอาจต้องใช้คำว่าวิธีแก้แบบพิสดารนอกกรอบ) ซึ่งสังเกตได้ว่าวิธีแรกจะใช้ได้ดีกับทีมที่มีขนาดใหญ่ วัฒนธรรมองค์กรแบบแบ่งขั้นลำดับและหน้าที่กันชัดเจน ยอมรับความผิดพลาดได้น้อยและเปิดโอกาสให้มีความคิดสร้างสรรค์น้อย ในขณะที่วิธีแบบที่สองมักใช้กับทีมที่มีขนาดเล็ก ขีดความสามารถระดับบุคคลสูง และมักจะได้งานที่มีครีเอทีฟสูงกว่า
https://www.flickr.com/photos/nasahqphoto/12785748244

ข้อที่สาม ให้ผู้เชี่ยวชาญในงานช่วยเก็บรายละเอียด
โดยทั่วไปนั้น คนจะเข้าใจว่าเวลาลงมือ ผู้บริหารจะไม่ทำเอง แต่จะใช้วิธีเลือกทีมงานที่มีทักษะช่วยลงรายละเอียดให้ แต่นั่นเป็นเพียงมุมมองด้านเดียว ในความเป็นจริง ผู้บริหารจะต้องมีวิธีตรวจสอบผลงานที่เชื่อถือได้ (และเท่าที่พบมักมีหลายวิธีการ) ไว้สำหรับตรวจผลงานในหลายมุมมองอย่างไม่มีอคติ เพื่อให้ผลลัพธ์ที่ได้มีคุณภาพสูงพอจะนำไปประกอบกับข้อมูลที่มีเพื่อเพิ่มโอกาสแข่งขันให้กับองค์กร

ในแง่ของลูกทีม ทีมที่ตอบสนองงานได้หลากหลายมุมมองพร้อมข้อมูลที่วัดและจับต้องได้ชัด จะช่วยทำให้ผู้บริหารทำงานได้ง่ายขึ้นและนำพาองค์กรไปขยับตัวนำวงการไปได้รวดเร็วกว่าองค์กรแบบเช้าชามเย็นชามหลายเท่าตัว

Simcity : Build it

04 Sunday Jan 2015

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

buildit, game, simcity

เปิดฉากต้นปีมาด้วยการเลิกเล่น ingress ไปหยกๆ
ดันมาเจอเกมบนพีซีในตำนานกลับมาทำใหม่บนมือถือแถมยังฟรี
ก็เลยลองโหลดซักหน่อย
ผลคือติดกันเลยทีเดียว

เกมที่ว่าก็คือ SimCity : Build ItScreenshot_2015-01-04-17-46-40

แนวคิดหลักของเกม ก็คือ ให้เราเป็นคนสร้างเมืองที่ทำให้พลเมืองมีความสุข และเมืองเติบโตเป็นเมืองใหญ่อย่างยั่งยืน

ฟังดูอาจจะนึกภาพยากไปหน่อย แต่ถ้าเล่นตามเกมแล้วกลับง่ายกว่าที่คิด

ตัวเกมเริ่มต้นด้วยการให้พื้นที่ว่างเปล่าขนาดใหญ่พอประมาณ (มีด้านนึงติดชายทะเล และมีด้านนึงติดถนนจากนอกเมือง

สิ่งแรกที่เราต้องทำก็คือ เริ่มต้นสร้าง “ถนน” ขึ้นมาก่อน
โดยลากจัดถนนนอกเมืองเข้ามาในพื้นที่ของเรา หลังจากนั้นจะเนรมิตสิ่งก่อสร้างอื่นใดต่อจากนี้ ก็ให้เริ่มจากริมถนนที่เราวางเป็นสำคัญ

Screenshot_2015-01-04-16-20-40

สิ่งก่อสร้างอันดับแรกๆก็คือ การสร้างพื้นที่สำหรับการพักอาศัย
พอมีพื้นที่ ก็จะมีคนอพยพเข้ามาอยู่ในเมือง และเราจะสามารถเก็บภาษีของพลเมืองมาใช้ในการพัฒนาเมืองต่อไป ไม่ว่าจะสร้างบ้านสร้างตึกเพิ่ม หรือแม้กระทั่งสวนสาธารณะ ระบบไฟฟ้า ประปา ก็ล้วนใช้เงินทั้งสิ้น

Screenshot_2015-01-04-16-20-32

ระบบสาธารณูปโภคหลักๆที่เกมจะบังคับให้สร้างอันดับแรกๆเลยก็คือ ไฟฟ้าและประปา ส่วนอื่นๆจะถูกปลดล็อคก็ต่อเมื่อขยายเมืองได้ตาม level ที่เกมกำหนด ช่วงแรกถ้ามัวเอาแต่สร้างบ้านเพลินๆจนเงินไม่พอสร้างโรงปั่นไฟฟ้าหรือประปา พลเมืองจะโวยวายออกมา แล้วทำให้ค่าความสุขของพลเมืองลดลง (ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อ % ภาษีที่จะได้) ดังนั้นวางแผนกันให้ดีๆ

อ่อ โรงไฟฟ้าบางประเภทจะมีค่ามลพิษด้วยนะครับ โปรดเลือกตามความเหมาะสม

Screenshot_2015-01-04-16-20-08

Screenshot_2015-01-04-16-22-07

Screenshot_2015-01-04-16-22-24

พอขยายเมืองไปซักพัก เกมจะเริ่มปลด lock สาธารณูปโภคตัวอื่นๆ เช่นระบบกำจัดน้ำเสีย ซึ่งอันนี้ผมพลาด เผลอสร้างพื้นที่่สำหรับที่พักอาศัยเพลินจนเงินไม่พอ ทำให้พลเมืองออกมาด่าว่าส้วมตันจนอารมณ์เสียกันไปค่อนเมือง แถมเงินก็หมด ถึงขั้นต้องทุบตึกทิ้งลดอัตราการสร้างน้ำเสียลงชั่วคราวเลยทีเดียว

นอกจากนี้ระบบสาธารณูปโภคบางอย่าง เช่น ระบบกำจัดน้ำเสีย จะสร้างใกล้ที่พักคนก็ไม่ได้ (จะโดนด่า) ต้องขยับออกไปสร้างให้ห่างตามรัศมีที่ปลอดภัยอีกด้วย

Screenshot_2015-01-04-16-22-16

ข้อดีอีกอย่างของระบบเกมนี้ ก็คือ ถ้าตอนแรกสร้างมั่วๆ แล้วอยากจะย้ายสิ่งก่อสร้าง ก็สามารถกดค้างแล้วย้ายที่ได้เลย (ไ่ม่เสียตังค์แต่อย่างใด) ยกเว้นถนนที่ย้ายไม่ได้ (แต่ทำลายและสร้างใหม่ได้)

นอกจากนี้ สิ่งก่อสร้างต่างๆเช่นที่อยู่ ยังสามารถอัพเกรดได้อีกหลาย level เช่น จากบ้านธรรมดากลายเป็นตึกสูงลิบ (ที่จุคมากขึ้นและทำให้ได้เงินมากขึ้นด้วย)

แต่สิ่งที่ต้องใช้ในการ upgrade จะต้องสร้างมาจากโรงงานอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก ไม้ พลาสติก ฯลฯ
สิ่งโรงงานก็จะจะก่อมลพิษให้เมืองด้วยเช่นกัน ห้ามสร้างใกล้ที่พักอาศัย(อีกแล้ว)

Screenshot_2015-01-04-16-20-15

เวลาในการผลิตวัตถุดิบก็จะมีแตกต่างกันไป วัตถุดิบบางตัวก็เอาไปเป็นตัวสร้างวัตถุดิบต่อยอดไปเรื่อยๆ เช่น เหล็กเอาไปทำคะปู, ไม้กับเหล็กเอาไปทำค้อน แล้วค้อนกับไม้กับตะปูก็เอาไปสร้างเก้าอี้ และเก้าอี้ก็เอาไปใช้ในการสร้างตึกอีกที (มีหลายรูปแบบ แต่จะประมาณสองสามทอดแบบนี้)

Screenshot_2015-01-04-17-13-01

สำหรับวัตถุดิบที่ผลิตได้ก็จะถูกเก็บไว้ในตึกเก็บของเมือง (ต้องสร้างก่อนนะ และคนก็ไม่ชอบอยู่ใกล้เหมือนกัน) ตอนแรกๆจะจุได้ไม่กี่อย่าง แต่เล่นๆไปก็จะขยายพื้นที่ได้(ตามทรัพยากรและ level)

Screenshot_2015-01-04-16-20-02

ยิ่งเล่นๆไป ก็จะปลดล็อคสิ่งก่อสร้างใหม่ๆได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งผลิตวัตถุดิบได้หลากหลายตามไปด้วย

Screenshot_2015-01-04-16-20-21

โดยรวม เป็นเกมที่ขายความเจ๋งของไอเดียฉีกแนวไปจากชาวบ้าน

เนื่องจากไม่ต้องมีตัวละครอะไรให้จดจำ เลยมาเน้นที่มุมมองของเมืองที่หมุนได้ 360 องศาแถมบิดมุมมองให้เฉียงขึ้นลงได้ด้วย (บังคับง่ายแบบไม่ต้องสอนเลย ถือว่า ui ออกแบบมา friendly มาก)

ฉากและรายละเอียด เก็บได้สวย เช่นมีสภาพแสงเปลี่ยนตามเวลา มีกลางวันกลางคืน มีเปิดปิดไฟริมถนน แสงอาทิตย์สะท้อนคลื่น (งามทีเดียวเชียว)

ระบบการเล่น ค่อยๆปล่อยปัญหาออกมาทีละขั้นๆอย่างมีชั้นเชิง ทำให้ผู้เล่นทำความเข้าใจได้ง่ายและออกแบบให้การสร้างเมืองแบบลองผิดลองถูกเป็นไปได้ (ซึ่งในชีวิตจริงใครมันจะไปทุบตึกทิ้งเล่นแบบนี้ได้)

ข้อเสีย: ขนาดเกมใหญ่พอสมควร และคาดว่ายิ่งเล่นยิ่งต้องใช้เวลามาก (ในการฟาร์มของ) ถ้าใจไม่ถึงแต่เงินถึงคงอาจมีคนเสียตังค์กันบ้างล่ะครับ

สรุป: เป็นเกมที่น่าเล่นเกมนึงเลยล่ะ เอาไป 8.9/10

🙂

Book Review 2014

29 Monday Dec 2014

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

book, review

รับ tag มาจากน้องดิว @OnlyDevTwice ว่าด้วยเรื่องหนังสือที่อ่านในรอบปี
โดยรวมปีนี้ ผมหยิบหนังสือมาอ่านน้อยกว่าปีก่อนๆพอควรเพราะเทน้ำหนักไปที่หนังสือบางเล่มมากเป็นพิเศษ
ประกอบกับตอนกลางปีโหมกำลังสมาธิทั้งหมดไปทุ่มอยู่กับการปลุกปั้นเวบ thinkaboutgift.com
ดังนั้นเลยมีรายชื่อหนังสือเข้ามาผ่านตาแค่ดังรายการต่อไปนี้ครับ (ขออนุญาตไม่เรียงลำดับการอ่าน)

เล่มที่ 1. เห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น by Malcolm Gladwell

นักเขียนท่านนี้มีสไตล์เฉพาะตัวที่น่าสนใจ ผมเริ่มอ่านผลงานเขียนของ Malcolm เล่มแรกจากคำแนะนำของน้องเติ้ง (@sahasbhop) ในชื่อว่า Outliner (ปีก่อน) แล้วพบว่า วิธีการหาข้อมูลและวิเคราะห์ของนักเขียนคนนี้ไม่ธรรมดาในทั้งมุมมองและแนวการหา input ใหม่ๆ เหมาะสำหรับเติมมุมมองให้สมอง โดยส่วนตัวเล่มนี้ผมยังอ่านไม่จบ (เหลืออีกราวๆ 30%) เนื้อหาส่วนใหญ่ยกเหตุการณ์ทั่วไปที่คนมองข้าม แต่พอวิเคราะห์ไปที่ตัวบุคคลบางคนที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นเป็นพิเศษ ข้อมูลที่ได้ก็ทำให้เราเห็นสิ่งที่ปกติเราไม่เห็นได้อีกเยอะเลย

ระดับความน่าอ่าน 8.8/10

2. aday เล่ม 169

ผมไม่ได้ซื้อ a day มานานหลายปีแล้ว (เล่มล่าสุดก่อนหน้า คือเล่มที่เอารูปจาก instagram มารวม – ซื้อเพราะแฟนบังคับ) เล่มนี้ก็ซื้อเพราะหัวข้อที่คิดว่าอาจจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่รู้สึกอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ ยกเว้นก็แต่ คอลัมน์ “ย้ำคิด ย้ำธรรม” ความยาวขนาดสองหน้ากระดาษ (เพจ 220-223) ที่คมและคุ้มจนรู้สึกว่าไม่เสียดายมูลค่าเงินไปที่ซื้อหนังสือเล่มนี้ไป

ระดับความน่าอ่าน 5.0/10

 

3. Easy economics

เนื่องด้วยว่าเรียนมาในสายวิศวะ ที่สนใจแต่เรื่องทางเทคนิคมาตลอด ความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์เลยอ่อนหัดเสียจนอยากหาอะไรใส่หัวบ้าง หนังสือเล่มนี้ก็เลยดูเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะย่อยง่ายด้วยรูปและตัวอักษรแบบพอเหมาะ ทำให้เราเข้าใจโลกจากมุมมองของประเทศอเมริกา และระบบเศรษฐกิจโลกมากขึ้น (ในปัจจุบันที่พิมพ์อเมริกายังคงเป็นประเทศมหาอำนาจอยู่)

ระดับความน่าอ่าน 7.4/10
4. Marketing Everything by รวิศ หาญอุตสาหะ

นี่เป็นหนังสือที่หยิบเรื่องรอบตัวมาวิเคราะห์แบบการตลาดด้วยแก่นที่ชัดเจนจนน่าขนลุก ย่อยง่าย และคมคาย
คุณค่าอัดแน่นทุกบท เป็นตัวคอยกระตุกให้คิดอย่างแยบคายในการตัดสินใจทำสิ่งต่างๆรอบตัว
บทที่ทรงพลังที่สุด คือบทสรุปสุดท้ายของเล่ม (ควรอ่านไล่ไปจากบทแรกจะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นมาก)

ระดับความน่าอ่าน 10/10

 

5. Mayo clinic: Guide to a Healthy Pregnancy

นี่คือหนังสือที่ถูกใช้เวลาในการอ่านเยอะที่สุดของปี (เพราะภรรยาผมตั้งครรภ์และคลอดในปีนี้) เป็นหนังสือที่ได้รับคำแนะนำมาจาก @juacompe สำหรับไว้อ่านเพื่อเตรียมสำหรับการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ว่าช่วงเดือนไหนจะมีอาการอะไร ต้องการกิน นอน ออกกำลังหรือดูแลยังไงเป็นพิเศษ เนื้อหาโดยรวมละเอียดกว่าหนังสือเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ทั่วไป(ภาษาไทย)มาก แต่จะอ่านยากกว่าเพราะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด แต่โดยรวมทำให้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงได้ละเอียดดี (หาซื้อยาก ผมเลยใช้วิธีสั่งจากร้าน ASIA Book เอา)

ระดับความน่าอ่าน 9.3/10

 

6. แนะนำวิธีเลี้ยงลูกแบบ Happy

เป็นวิธีการเลี้ยงลูกแบบชาวญี่ปุ่น ที่อธิบายถึงการพัฒนาการทางสังคมในช่วงวัยเด็กในมุมที่บ้านเราไม่ค่อยรู้กัน มีเป็น series 7 เล่ม ข้างในเป็นการเล่าเรื่องเด้วยการ์ตูนทำให้ย่อยง่ายมาก (เหมาะให้ญาติผู้ใหญ่ศึกษาอย่างมาก) และทำให้เข้าใจถึงความกดดัน/ความเครียดของคุณแม่ในช่วงเลี้ยงลูกได้ชัดเจน พร้อมทั้งวิธีป้องกันปัญหาที่น่าสนใจ

ระดับความน่าอ่าน 9.5/10

 

7. ลูกฉลาดได้ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ – นพ. ชัยรัตน์ ปัณฑุรอัมพร

หนังสือเล่มนี้รวบรวมข้อมูลเชิงการแพทย์มาอธิบายแบบเข้าใจง่าย เพื่อลบความเข้าใจผิดของการเจริญเติบโตของทารกเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ก่อนที่จะคลอด เพื่อให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่รู้ว่าแต่ละเดือนเด็กจะมีอวัยวะส่วนไหนพร้อม เสียงดนตรีแบบไหนกระตุ้นพัฒนาการของลูกได้ดี เริ่มต้นที่ช่วงเดือนไหน และควรดูแลสุขภาพและอารมณ์ของคุณแม่อย่างไร

ระดับความน่าอ่าน 8.4/10

 

8. เปลี่ยนแปลง by ประเสริฐ เอี่ยมรุ่งโรจน์

หนังสือที่ว่าด้วยการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยวิธีคิดที่ซัดตรงเข้ากลางประเด็น ตัวอย่างที่ชัดเจน และแนวคิดที่ทรงพลังในการหาทางออกด้วยวิธีที่สร้างสรรค์ต่อตลาดและสังคม มุ่งแก้ปัญหาที่ตนเองเพื่อยกระดับให้สูงขึ้นด้วยปัญญา เนื้อหาแต่ละบทสั้น กระชับ ได้ใจความ และนำไปคิดต่อยอดได้

ระดับความน่าอ่าน 10/10

 

9. วิธีปั่นหัวคนด้วยสถิติ by Darrell Huff

หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ข้อมูลเชิงสถิติที่ทำลายกรอบความคิดเรื่องสถิติที่เราถูกปลูกฝังตอนเรียนในวัยเยาว์ จนทำให้มองทะลุตัวเลขหลอกๆในสังคมปัจจุบันที่มีปริมาณมหาศาลจนทำให้เราพลาดข้อมูลสำคัญไปง่ายๆ เนื้อหาย่อยมากจนน่ากลัว (ทั้งวิธีการและข้อมูลที่การตลาดใช้กันอยู่ในปัจจุบัน) โดยรวมเนื้อหาไม่เยอะมาก อ่านแป๊บเดียวจบและเอาใช้ต่อได้ง่าย

ระดับความน่าอ่าน 7.8/10

 

10. The Tipping Point by Malcolm Gladwell

เล่มนี้ว่าด้วยเรื่องสาเหตุของการทำให้เรื่องดังๆกระจายตัวออกไปได้รวดเร็วยิ่งกว่าการระบาดของโรคระบาด อะไรคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้เรื่องแพร่กระจาย ตัวคนแบบไหน ลักษณะข้อมูลแบบไหน และวิธีการ เวลา รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันเล็กน้อยจะส่งผลบวกหรือลบต่อการกระจายข่าวได้มากกว่าปกติอย่างไร Malcolm รวบรวมและเอามาวิเคราะห์ให้เห็นถึงปรากฏการณ์ในมุมที่มองเห็นได้ยากด้วยสายตาคนธรรมดาทั่วไป

ระดับความน่าอ่าน 9.2/10

 
11. All you need is kill

นวนิยายของชาวญี่ปุ่นที่ถูกซื้อไปดัดแปลงในแบบของ Hollywood ในชื่อของ Edge of tomorrow ที่ ทอม ครูส นำแสดง สำหรับหนังสือที่เห็นนี้เป็น version การ์ตูนสองเล่มจบ เนื้อหาตามต้นฉบับภาษาญี่ปุ่นซึ่งไม่เหมือนในหนัง (แต่โดยส่วนตัวดูแล้วชอบภาคดัดแปลงมากกว่านิดหน่อย) ลายเส้นวาดโดยนักเขียน Takeshi Obata เจ้าของผลงานภาพ ฮิคารุ เซียนโกะ, Death note และ Bakuman เป็นการ์ตูนไว้อ่านเล่นพอใช้ได้

ระดับความน่าอ่าน (เล่มแรก 9.0/10, เล่มสอง 8.1/10)

 

 

12. ความความคิดเจ้าสัว ธนินท์ เจียรวนนท์

วิธีบริหารของผู้สร้างเครือซีพีที่เน้นประสิทธิภาพผสมกับธรรมาภิบาล หลักการบริหาร วิสัยทัศน์และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเชิงคุณภาพ การทำงานเป็นทีม การวางระบบและแผนงาน รวมทั้งการนำแนวคิดการบริหารแบบตะวันตกและตะวันออกเข้าด้วยกัน

ระดับความน่าอ่าน (7.9/10)

 

13. เจ้าสัวเฉลียว อยู่วิทยา

ประวัติการเกิดและเติบโตของกระทิงแดงตั้งแต่เริ่มยันผงาดทั่วโลก ปัญหาและวิธีแก้ปัญหาแบบนำสมัยของผู้ก่อตั้ง และความฝันที่ทำให้เครื่องดื่มกระทิงแดงเติบโตไม่เหมือนเครื่องดื่มอื่นๆในตลาด

ระดับความน่าอ่าน (6.4/10)

 

14. จอมกระบี่สายฟ้าฟานอวิ๋น

ภาคเริ่มต้นของสุดยอดนวนิยายกำลังภายในของหวงอี้ “เทพมารสะท้านภพ”
เวอร์ชั่นการ์ตูนที่ทำให้อ่านแล้วจินตนาการได้ง่ายกว่าเวอร์ชั่นนิยาย ถือเป็นสามเล่มที่พีคมากเพราะโชว์ความเด่นของตัวละครหลักได้กลมกล่อมและดุเดือดยิ่ง

ระดับความน่าอ่าน (9.4/10)

 

15. มังกรคู่สู้สิบทิศ (ภาคสอง เล่ม 6)

เล่มย่อยของสุดยอดนิยายสายบู้ของหวงอี้ที่หยิบมาอ่านคั่นเวลา เป็นช่วงเวลาครึ่งหลังของนิยายที่โค่วจง และฉีจื่อหลิงเริ่มเปิดศึกกับหลี่ซื่อหมิน โดยส่วนตัวความดุเดือดเร้าใจด้อยกว่าช่วงครึ่งแรกที่ตัวเอกฝีมือยังด้อยและพัฒนาตัวเองอยู่พอสมควร แต่อ่านเล่นแก้เบื่อได้ไม่ยาก

ระดับความน่าอ่าน (8.2/10)

← Older posts

Subscribe

  • Entries (RSS)
  • Comments (RSS)

Archives

  • August 2017
  • November 2015
  • August 2015
  • June 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • January 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • July 2014
  • June 2014
  • May 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • May 2012
  • February 2011
  • January 2011
  • August 2010
  • June 2010
  • May 2010
  • April 2010
  • February 2010
  • January 2010
  • December 2009
  • November 2009
  • October 2009
  • September 2009
  • August 2009
  • April 2009
  • March 2009
  • November 2008
  • October 2008

Categories

  • Developer
  • Events
  • Games
  • IDeas
  • Love
  • Photos

Meta

  • Register
  • Log in

Create a free website or blog at WordPress.com.

Privacy & Cookies: This site uses cookies. By continuing to use this website, you agree to their use.
To find out more, including how to control cookies, see here: Cookie Policy
  • Follow Following
    • WindyGallery's Weblog
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • WindyGallery's Weblog
    • Customize
    • Follow Following
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...