• About Me
  • My Slides

WindyGallery's Weblog

~ I am a normal man in quite imperfect little World.

WindyGallery's Weblog

Category Archives: Love

การสื่อสารกับเด็กให้ได้ผลดี

14 Monday Aug 2017

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

สมองของคนเราจะพัฒนาเต็มที่เมื่ออายุราวๆ 25 ปี
โดยการพัฒนานั้นจะเกิดจากประสบการณ์ที่หลากหลาย
และสมองส่วนไหนที่ถูกใช้งานบ่อยๆก็จะยิ่งพัฒนา
ส่วนที่ไม่ได้ก็จะฝ่อหายไป ทำให้เหลือแต่สมองที่มีประสิทธิภาพสูง

และเซลล์สมองในเด็กที่กำลังมีความสุขจะเติบโตมากกว่าเด็กที่กำลังเครียด

 

การพัฒนาเด็กในวัยเล็กจึงควรโฟกัสที่กิจกรรม และอารมณ์
การเล่นในเด็กวัยเล็กๆ ช่วยพัฒนาสมองในหลายแง่มุม
เพราะการเล่นนั้นผิดพลาดได้ เช่น
ต่อบล็อคไม้แล้วล้ม = สมองจะพัฒนาเพื่อเรียนรู้และแก้ปัญหา
การปีนต้นไม้ = ฝึกการคอนโทรลร่างกาย, วางแผนในการปีนและแก้ปัญหา
การเล่นของเล่น รวมกับคนจะให้เกิดพัฒนาได้มากกว่าเล่นแต่กับของเล่นมาก

ในขณะเดียวกัน การฝึกฝนให้เด็กรู้จักรับผิดชอบหน้าที่/ทำงานบ้าน
ก็เป็นการพัฒนาสมองด้านการควบคุมตัวเองอย่างดี เพราะงานบ้านเช่น
การล้างจาน/ถูบ้าน เป็นงานที่น่าเบื่อแต่ต้องทำ ทำให้เด็กรู้จักควบคุมอารมณ์
และพัฒนาสมองในส่วนความคิดที่จะใช้การบริหาร/วางแผน

การเดินทาง/เที่ยว = ฝึกแก้ปัญหา, รู้จักทำตามกฏระเบียบ, อดทน

การให้เด็กเรียนรู้จากคำพูดสอนนั้นได้ผลน้อยกว่าการให้ทำผิดพลาด
และแก้ไข (อย่าพยายามให้ลูกทำถูกหมดตลอดเวลา)

 

พ่อแม่ที่จะช่วยส่งเสริมให้ลูกโตแบบคิดเป็นเหตุเป็นผลจะต้องประกอบด้วย
1. ความรักและเอาใจใส่
2. วินัย

ขาดวินัย เด็กจะไม่รู้จักควบคุมตัวเอง
ขาดความรัก เด็กอาจจะทำตามคำสั่งแต่คิดไม่เป็น

การฝึกวินัยในเด็ก ไม่ใช่การฝึกวินัยแบบทหาร
และไม่ใช้การลงโทษในการชี้นำ (* อันนี้คนทั่วไปมักเข้าใจผิด)

หลักสำคัญคือ
“เด็กจะทำตัวดีขึ้น ก็ต่อเมื่อเขารู้สึกดี”

การเสริมให้เด็กทำตามวินัยมีหลายวิธี เช่น
– ชม
– ให้กำลังใจ
– สร้างแรงจูงใจ
– ให้ทางเลือก (อย่าบังคับ เพราะเด็กจะรู้สึกถึงการใช้อำนาจ)
– เตือนล่วงหน้าแบบเบา (อย่าบ่น ไม่งั้นจะยิ่งพยายามแหกคอก)
– สร้างข้อตกลงร่วมกัน
– ให้เรียนรู้ตามธรรมชาติ เช่น
– ไม่กิน -> อด -> หิว -> ปรับตัว
– ไม่กิน -> ให้กินขนม -> ไม่ได้ฝึกอะไร
– ให้รับผิดชอบ
– ตัดสิทธิ์ (พร้อมชี้แจงเหตุผล)

ทั้งนี้การสื่อสารจะต้องระวัง เพราะถ้าเกิดสภาวะขัดแย้งจนเครียด
จะมีอยู่สามรูปแบบหลักๆที่เป็นไปได้
1. สู้ -> ต่อต้าน -> ก้าวร้าว
2. หนี -> วิตกกังวล -> ซึมเศร้า
3. นิ่ง/ยอม -> ความนับถือตัวเองลด -> สมองหยุดพัฒนา

ก่อนจะสื่อสารกับเด็ก ต้องไม่ใช้อารมณ์
และรอให้เด็กสงบก่อนจะสื่อสาร เพราะถ้าอารมณ์ยังพุ่งพล่านอยู่ทั้งคู่
จะไม่สามารถสื่อสารให้ออกมาดีได้

และการฝึกฝนที่ดีที่สุด คือ การเป็นต้นแบบที่ดี
การเลี้ยงลูกจึงเป็นการพัฒนาตัวเอง

 

เทคนิคในการแก้ปัญหาเวลาเด็กมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

1. หยุดตัวเองให้ได้ก่อน
เพราะถ้าอารมณ์ของผู้ใหญ่ครอบงำ อย่าหวังว่าจะได้ผลดีๆต่อไป

2. หยุดปากตัวเองให้สนิท
เพราะถ้าบ่นหรือพูดในแง่ร้ายหรือใช้อำนาจของผู้ใหญ่
อย่าคิดเด็กจะเชื่อฟังหรือจบได้ดี
(ระวังอย่าให้คำพูด ดูถูก หรือประชดประชันหลุดออกจากปากเด็ดขาด)

3. หา “ความต้องการ” ที่แท้จริงให้ออก
ปกติก่อนที่เด็กจะทำพฤติกรรมใดๆ มันจะมีสาเหตุจากสิ่งที่เขาต้องการ
ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด ถ้าเด็กคนนึงเบื่อ เขาอาจจะเริ่มวิ่งเล่น
ในมุมมองของผู้ใหญ่อาจจะบอกว่าเขานั้นซน และเริ่มใช้เสียง
(ที่แฝงถึงอำนาจ)ให้เขาหยุดและนั่งนิ่งๆ ซึ่งนั่นเป็นการระงับพฤติกรรม
แต่ไม่ได้แก้ปัญหาถึงความต้องการของเขาที่เบื่ออยู่เลย

ดังนั้นการแก้ปัญหาปลายเหตุแบบนี้ก็จะไม่จบดี

4. เชื่อมต่อกับความคิดเด็กให้ได้ก่อนแสดงความคิดเห็น
ปัญหาหลักของผู้ใหญ่คือมีประสบการณ์มากกว่าเด็กหลายสิบเท่า ทำให้เกือบ
ทุกครั้งมองทะลุไปถึงวิธีแก้ปัญหา และพยายาม(ยัดเยียด)คำตอบให้เด็ก
ก่อนที่สร้างความอบอุ่นในใจกับเขา

ยกตัวอย่างเช่น เด็กคนนึงถ้าทำเรื่องผิดพลาดร้ายแรงและเสียใจมาก
แล้วมาเจอคน 2 คน
คนแรก พูดว่าไม่เป็นไร แก้ยังงี้ซิๆๆแล้วไล่ให้เด็กไปทำตาม
กับ
คนที่สอง แสดงความเห็นอกเห็นใจ และคอยรับฟัง/ปลอบให้เขาระบาย
โดยไม่ไปจี้/ชี้นำถึงการแก้ปัญหาตั้งแต่เด็กเริ่มอ้าปาก

คิดว่าเด็กจะอยากเล่าปัญหาให้คนไหนฟังมากกว่า?

 

ความจริงคือ คนแรก คือผู้ใหญ่ทั่วไปที่โตกว่ามาก และไม่ได้สนใจ
ความรู้สึกของเด็กที่อยู่ตรงหน้าเท่าการแก้ปัญหา
ส่วนคนที่สอง ก็คือเพื่อนเด็กที่อายุพอๆกัน ไม่มีความรู้และอำนาจมากกว่า
ถึงขนาดชี้ทางไปได้เร็ว จึงต้องรับฟังให้มากก่อน

และนี่คือสาเหตุที่ทำไมเด็กพอโตถึงระดับนึง จึงเชื่อเพื่อนมากกว่าผู้ใหญ่
เหตุผลหลักคือ เขาต้องการคนรับฟังมากกว่าคนให้คำตอบของปัญหา
(*) และผู้ใหญ่ทั่วไปก็ยังพลาดอยู่ประจำ!

ถ้าอยากสื่อสารกับเขารู้เรื่อง จง
– ใส่ใจอารมณ์เขา
– รับฟังเขา
– แสดงความเห็นใจ/ปลอบ/ชม
– อย่ารีบชี้นำวิธีแก้ปัญหา
– กระตุ้นให้เขาคิดได้เอง/ให้เลือก/ตั้งคำถาม

(*) ทั้งหมดนี้จะเวิร์คเมื่อไม่มีอารมณ์ครอบงำความคิดของทั้งสองฝ่าย
ถ้าเขายังหวั่นไหว ไม่นิ่ง ปลอบเขาก่อน ทำให้เขารู้สึกดีขึ้นแล้วค่อยคุยกัน

 

[สรุป] ถ้ายังควบคุมตัวเองไม่ได้
อย่าทำหรือพูดอะไรจะดีกว่า (ฮา)

 

ข้อมูลทั้งหมดล้วนมาจากงานสัมมนาเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกด้วยวินัยเชิงบวก
จากความร่วมมือกันของแอดมินเพจเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ,
เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน ,เพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา
และอาคารศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ(SOOK)
เมื่อวันเสาร์ที่ 22 กรกฎาคม 2560 ตั้งแต่ 8:00 – 16:00 น.

References เพิ่มเติมสำหรับคนที่สนใจ แนะนำให้ติดตามอ่าน ได้แก่

เพจเลี้ยงลูกให้เป็นคนปกติ โดยหมอก้อย หมอตั้ม
แพทย์หญิงพรพิมล,นายแพทย์อัศวิน นาคพงค์พันธุ์
https://www.facebook.com/Growingupnormal

เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน โดย หมอโอ๋ (แพทย์หญิงจิราภรณ์ อรุณากูร)
https://www.facebook.com/takekidswithus

เพจเข็นเด็กขึ้นภูเขา โดย หมอมินบานเย็น
แพทย์หญิงเบญจพร ตันตสูติ: จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น
https://www.facebook.com/kendekthai

และศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ(SOOK)
https://www.facebook.com/Sookcenter/

สิ่งที่ต้องเจอหลังคลอด (ภาค 3) – Baby sleeping training

14 Tuesday Apr 2015

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

baby, sleep, training

รีบมาต่อหลังจากดองไปนาน
(เพื่อนๆบางคนก็เริ่มคลอดน้องออกมาแล้ว เขียน blog ช้าไปอาจจะไม่ทันการ)

เรื่องที่จะพูดถึงในตอนนี้ก็คือปัญหาสุดคลาสิกของหนูน้อยหลังออกมาจากท้องมะม๊า ก็คือเรื่อง การตื่นนอนรัวๆยามดึก!

https://www.flickr.com/photos/48509939@N07/5927758528

https://www.flickr.com/photos/48509939@N07/5927758528

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสียงร่ำลือจากเพื่อนๆเล่าให้ฟังกันก่อนคลอดเยอะมาก ว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องนอนตุนไว้เยอะๆนะ เพราะเดี๋ยวหลังจากคลอดน้องออกมา จะไม่ค่อยได้นอนกัน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ลูกชายตัวน้อยของเราตื่นมาร้องไห้งอแงและขอดูดนมคุณแม่ยามค่ำคืนตลอด ทำเอาคุณแม่เริ่มอ่อนแรงและเริ่มเข้าโหมดซอมบี้ย่อมๆเข้าไปทุกวันๆ ช่วงเวลาในการนอนและตื่นของเด็กน้อยสั้นเพียงประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมงและกินตลอดเวลา เป็นแบบนี้ตลอดทั้งเดือน แต่น้ำหนักกลับไม่ขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

หลังจากญาติๆแวะมาเยี่ยมดูแล้วก็เลยแนะนำให้พาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุ แล้วก็ได้คำตอบมาว่า วิธีการดูดนมของน้องยังไม่ถูกต้อง ทำให้ได้น้ำนมน้อย พอกินได้น้อย ก็เลยหลับได้ไม่นานก็ตื่นเพราะหิวอีก กลายเป็นลูปวนเวียนไม่รู้จบ (แถมเริ่มชินกับวิธีดูดแบบผิดๆล่ะ แก้ยากได้อีก)

วิธีแก้ปัญหาขั้นต้นของพวกเราก็เลยต้องพยายามปรับท่าให้นมกันใหม่หมด (ด้วยความดูแลของคุณหมอและพยาบาลหลายท่าน) และต้องเสริมนมชงเข้าช่วยเพื่อให้น้ำหนักขึ้นมาตามเกณฑ์ให้ได้ก่อน

หลังจากผ่านไปเกือบสองเดือน น้ำหนักเริ่มเข้าที่ ตัวน้องก็กินนมคุณแม่และต่อด้วยนมชงจนอิ่ม และนอนหลับยาวขึ้นเป็นสามชั่วโมงต่อรอบ วนเวียนเป็นลูปตลอดทั้งวันและคืน พวกเราก็เริ่มเบาลงจากเดิมบ้าง แต่ก็ยังไม่ง่ายสำหรับคุณแม่ที่เวลาลาคลอดกำลังจะหมด และต้องกลับไปทำงานเหมือนเดิม ในเมื่อกลางวันต้องทำงาน และกลางคืนจะต้องคอยดูแลลูกตอนกลางคืนอีก จะเอาเวลาที่ไหนพักผ่อน?

ในขณะที่เวลากำลังจะหมดลงนั้นเอง
ก็มีโทรศัพท์ของน้องสนิทโทรเข้ามา

@juacompe: “สวัสดีครับพี่วิน”

@windygallery: “สวัสดีครับจั๊วะ”

@juacompe: “เจตานอนหลับยาวทั้งคืนรึยังครับ?”

@windygallery: “ยังอ่ะ ทำไมเหรอ?”

@juacompe: “ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ประหลาดมากสำหรับพ่อแม่มือใหม่ ว่าแต่พี่มีเวลาพอคุยกันเรื่องนี้ใหม่ครับ?”

แน่นอนว่าผมมี

และเต็มใจอย่างยิ่งที่น้องรักจะนำเอาข้อมูลอันมีคุณค่าขนาดที่สามารถเปลี่ยนช่วงชีวิตที่ยากลำบากของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้กลายเป็นวันที่น่าจดจำได้ในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

ประเด็นหลักของการพูดคุยในค่ำคืนนั้น คือความเข้าใจเรื่องการนอนหลับของเด็กทารกที่ “เข้าใจกันไปเอง” ว่าการที่เด็กทารกนอนและตื่นมากินนมแม่ตอนกลางคืนนั้นเป็น “เรื่องปกติ”

ซึ่งตอนนี้เรามีข้อพิสูจน์แล้วว่ามัน “ไม่จริง“

ต้นเหตุของการศึกษาเรื่องนี้เกิดจาก หญิงนักข่าวชาวอเมริกันคนหนึ่ง ได้แต่งงานและย้ายไปอาศัยอยู่ ณ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส และพบว่าพฤติกรรมของเด็กเล็กในฝรั่งเคสหลายๆอย่างนั้นแตกต่างจากที่ลูกเธอเป็นและเด็กที่อื่นที่เธอเคยรู้จัก เช่น การกินอาหารอย่างเป็นระเบียบ ควบคุมตัวเองได้ ไม่เหมือนเด็กอเมริกันที่โวยวายทำข้าวของเละเทะระหว่างการกิน ทั้งๆที่อยู่ในวัยเดียวกัน และรวมไปจนถึงการที่เด็กทารกของครอบครัวฝรั่งเศส สามารถนอนยาวตั้งแต่หัวค่ำไปยันเช้าเหมือนผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่อายุไม่กี่อาทิตย์

ข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกหาอ่านต่อได้จากหนังสือสองเล่มนี้ครับ

10957475_10205808326827998_858649734_n

เพื่อให้กระชับ ขอเล่าเอาทฤษฎีแบบตัดน้ำออกให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อย คือ

การนอนหลับยาวๆของผู้ใหญ่จะเกิดจากการนอนหลับลึกและหลับตื้นสลับกันไปเรื่อยๆทั้งคืน

เด็กเกิดใหม่ยังไม่รู้วิธีเชื่อมต่อระหว่างการหลับลึกกับหลับตื้น

บางครั้งที่เขาร้องไห้โวยวายกลางดึกนั้น บางทีเขายังไม่ได้ตื่น เขาแค่ละเมอ (ขยับตัว ร้องไห้)

ถ้าปล่อยให้เขาได้ฝึกอยู่กับตัวเองซักประมาณ 5 นาที บ่อยๆเข้า เขาจะเริ่มเชื่อมต่อหลับตื้นไปหลับลึกได้เอง

และจะนอนหลับยาวเหมือนผู้ใหญ่ได้

นี่คือเรื่องพื้นฐานการฝึกเด็กให้นอนหลับยาวที่อยู่ในวัฒนธรรมของชาวฝรั่งเศส

 

แต่คนไทยอย่างเราไม่เคยรู้!!!
พอลูกร้องปั๊บก็เลยจับลูกขึ้นมาโอ๋ และให้กินนมเลย
ผลก็คือลูกตื่น และไม่ได้ฝึกเชื่อมต่อระหว่างหลับลึกกับหลับตื้นเลย
แถมกินบ่อยๆเข้า ร่างกายก็เริ่มจำเวลาได้ น้ำย่อยก็เริ่มมา
คราวนี้เลยกลายเป็นความเคยชินที่เปลี่ยนยากไปเลย

จากที่หาข้อมูลมา โดยปกติถ้าไม่หัด ไม่ฝึกอะไรเลย เด็กจะสามารถเริ่มนอนยาวได้ด้วยตัวเองในอายุประมาณ 6 เดือน (แบบเป็นได้ตามธรรมชาติ)

แต่ในฝรั่งเศสที่เรื่องการฝึกเด็กนอนอยู่ในวัฒนธรรม เด็กของพวกเขานอนยาวทั้งคืนได้ตั้งแต่ตอนอายุ 2 อาทิตย์ (และส่วนใหญ่คือไม่เกิน 4 เดือนก็นอนหลับยาวทั้งคืนแล้ว)

 

 

เนื่องจากแนวคิดนี้ถือว่าปฎิวัติความเข้าใจของการเลี้ยงลูกในบ้านผมพอสมควร ก็เลยต้องมีการเจรจากับญาติผู้ใหญ่ในบ้านก่อนเพื่อจะได้ไปในแนวทางเดียวกัน

วิธีการฝึกให้ลูกหลับยาวตามทฤษฎี มีอยู่สองแนวทาง

อันแรก คือวิธี “หักดิบ”
แยกพื้นที่สำหรับนอนของเด็กแบบชัดเจนไปเลยเพื่อให้เขารู้ว่านี่คือเวลานอน กำจัดแสงและสิ่งรบกวนและปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียวทั้งคืน (ในที่ๆเรามั่นใจว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว) ถ้าจะอุ้มขึ้นมาปลอบตอนร้องไห้ ให้ทำได้ครั้งเดียว และพูดคุยบอกเขาก่อนจะทำ ว่าเรากำลังจะทำอะไร และให้เขาทำตัวอย่างไร (คนฝรั่งเศสถือว่าเด็กเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่เพียงแต่ยังแสดงออกไม่ได้เท่านั้น)

โดยปกติวิธีนี้มักจะใช้เวลาไม่กี่วัน แต่จะต้องแลกมากับช่วงเวลาลำบากใจตอนที่ลูกร้องคืนแรกๆ

วิธีที่สอง คือ “ค่อยๆปรับ”
วิธีนี้เน้นที่การสังเกตพฤติกรรมหลังจากที่ลูกร้องโวยวายยามดึก โดยแทนที่จะรีบอุ้มลูกขึ้นมาให้นม ให้คอยดูลูกอยู่ข้างๆประมาณ 5 นาทีแทน เพื่อที่ให้โอกาสเด็กน้อยได้ลองฝึกนอนต่อเนื่องจากหลับติ้นไปเป็นหลับลึกต่อด้วยตัวเอง แต่ถ้าเกินจากนั้นแล้วยังร้องก็ให้ปลอบ ถ้าเขาหิวก็ค่อยให้เขากิน (แต่ต้องฝึกสังเกตและแยกให้ออกว่าเขาต้องการอะไร แล้วค่อยตอบสนอง)

วิธีนี้จะใช้ระยะเวลาเป็นระดับสัปดาห์ขึ้นไป

 

 

แล้วก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติ

ตอนแรกนั้น ครอบครัวเราลองใช้วิธีหักดิบก่อน โดยลองปรับที่นอนใหม่ให้เป็นบริเวณชัดเจน โดยเอาเตียงเด็กมาวางไว้ข้างที่นอนของพวกเรา ปิดแสงไฟและเสียงรบกวน แล้วลองปล่อยให้น้องนอน (ก่อนปล่อยบอกให้น้องฟังว่าเรากำลังจะทำอะไร) แล้วก็เริ่มนอน สักพักน้องก็ร้อง เลยอุ้มขึ้นมาปลอบทีนึงเพื่อให้รู้ว่ายังอยู่ใกล้ๆกัน แล้วก็วางให้นอนต่อ ปรากฏว่าสักพักก็เริ่มไม่ยอม ร้องไห้งอแง

พยายามทำใจแข็งกันอยู่สองคน (เกือบทะเลาะกับผู้ใหญ่ในบ้านก็ตอนนี้) หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ก็เลยต้องยอม จับขึ้นมาอุ้มปลอบให้แล้วดูดนมแม่ต่อเพื่อกล่อมจนหลับไป (สรุปว่า fail เพราะใจไม่แข็งพอ)

ผลข้างเคียงที่ออกมาชัดเจนก็คือ คืนต่อๆมาลูกไม่ยอมนอนเลย พอจับวางที่นอนเดิมปั๊บร้องงอแงทันที (กลายเป็นกลัวการนอนกลางคืนไปเลย)

IMG_3612

สถานการณ์ตอนนั้น เครียดพอสมควร..

เพราะพอลูกไม่ยอมนอน ก็ส่งผลเป็นโดมิโน่กับพ่อแม่ และญาติๆรอบข้างเป็นลูกโซ่
ดังนั้นก็เลยต้องปรับตัวมาใช้วิธีที่สองเพื่อให้แก้ปัญหาแทน

เอาเตียงเด็กออกไปจากห้อง แล้วย้ายมานอนกับคุณแม่เหมือนเดิม จัดสภาวะแวดล้อมใหม่ โอ๋และพยายามกล่อมให้ต่างจากบรรยากาศวันที่ทำให้ลูกกลัวกลางคืนฝังใจ ค่อยๆปลอบและยอมให้ลูกดูดนมจนหลับ ปรับทุกๆอย่างๆ หลังจากผ่านไปเกือบอาทิตย์ ลูกก็เริ่มยอมกลับมานอนกลางคืน (พ่อแม่แทบเป็นซอมบี้กันเลยทีเดียว)

ในระหว่างช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้ พวกเราก็เริ่มแยกแยะเสียงร้องของเขาได้แล้ว ว่าร้องแบบไหนคือหิว (ลูกผมร้อง อะแฮ้ = หิว ชัดมาก) แบบไหนปวดท้องมีลม (สังเกตจากเสียงร้องและมือเกร็ง) ส่วนง่วงดูง่ายเพราะอ้าปากหาวตาปิด และฉี่/อึ นี่อาศัยดูจากแพมเพิร์สเอา

https://www.flickr.com/photos/adesigna/3905842249

https://www.flickr.com/photos/adesigna/3905842249

พอเริ่มแยกแยะอาการได้ เราก็เริ่มใช้วิธีสังเกตก่อนประมาณ 5 นาที ไม่รีบอุ้มเวลาที่เขาร้องตอนกลางคืน คอยตบก้นเบาๆให้เขาหลับต่อและปล่อยให้เขาค่อยๆฝึกนอนหลับต่อเนื่องได้ด้วยตัวเอง ทีละน้อยๆ

หลังจากผ่านไปอีกประมาณสองอาทิตย์ ลูกของพวกเราก็เริ่มนอนยาวทั้งคืน ตื่นอีกทีตอนเช้าเลย
\(^^)/\(^^)/

IMG_2923

แล้วชีวิตก็ดีขึ้น

คุณแม่ตื่นยามดึกเพื่อปั้มนมต่อไป (เพียงแต่ไม่ต้องมาคอยดูแลลูกด้วย เบาแรงได้อีกหน่อย)
เด็กน้อยนอนหลับยาว ก็มีส่วนให้มีพัฒนาการที่ดี อารมณ์ดี และเลี้ยงง่ายขึ้น

 

การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเสียจนเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

การเลี้ยงลูกไม่ใช่ไสยศาสตร์ การร้องของเขามักมีสาเหตุ การสังเกตเยอะๆช่วยได้มาก

พยายามทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของเขาจากสิ่งที่เขาแสดงออก (ยิ่งเด็กเล็กยิ่งตรงไปตรงมามาก)

สิ่งแวดล้อมมีผลกับการเลี้ยงมาก เช่น เวลานอนของพ่อแม่ แสง เสียง (และอย่าลืมทำให้ลูกเรอก่อนนอน)

ถ้าคิดว่ามีปัญหาเกิดขึ้น แนะนำให้ลองดูสิ่งรอบๆตัวก่อน แล้วค่อยๆปรับครับ

IMG_4248
หวังว่าจะมีประโยชน์ในการเลี้ยงน้องๆของทุกครอบครัว ให้เติบโตอย่างมีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใสกันทุกคน ขอเอาใจช่วยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ ^^

สิ่งที่ต้องเจอหลังคลอด (ภาค 2)

04 Wednesday Mar 2015

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

คลอด, ความเชื่อ, จัดห้อง, ตัวเหลือง, ผู้ใหญ่, ร้องหิวนม

IMG_2904

(ต่อจากภาคแรก)

Make it efficient

หลังจากเด็กน้อยคลอดออกมาแข็งแรงปลอดภัยดีแล้ว
ก็ถึงเวลาพากลับบ้าน สิ่งแรกๆที่เราสองคนเริ่มทำก่อนก็คือ “จัดระเบียบห้องใหม่”
โดยการทยอยเอาของที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อให้มีพื้นที่มากขึ้น
และจัดเอาอุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกันมาอยู่ใกล้ๆกันให้มากที่สุด
ผลลัพธ์ที่ได้ คือมีพื้นที่อยู่สามจุดที่ช่วยประหยัดเวลาของพวกเราได้มาก

จุดแรกคือ มุมเปลี่ยนผ้าอ้อม
ที่จะมีทั้งกระดาษเปียก ผ้ายางรองกันเลอะ แพมเพิร์สใหม่
ขวดมหาหิงส์ คัตตอนบัท กล่องใส่สำลีก้อน และถังขยะรอไว้พร้อม
สามารถอุ้มน้องวางแล้วจับเปลี่ยนแพมเพิร์สได้สะดวก
โดยขยับขาไม่เกินสองก้าวในการเข้าถึงของจำเป็น
ลดเวลาในการเปลี่ยนผ้าอ้อมและสะดวกแม้ยามดึก
(สวิตซ์ไฟเล็กอยู่ติดกับกระดาษเปียก)

จุดที่สอง คือ มุมเตรียมนม
มีกระติกน้ำร้อน นมผง ที่นึ่งขวดนม ที่วางขวดนมสะอาด ผ้าประคบ
แก้วน้ำดื่ม(สำหรับคุณแม่) กรณีนี้ ถ้ามีตู้เย็นอยู่ใกล้จะยิ่งได้เปรียบ

จุดที่สาม คือ มุมอาบน้ำ
จะมีอ่างอาบน้ำเด็ก ผ้าขึงรองให้เด็กนอนเวลาอาบน้ำ
ผ้าอาบน้ำ สบู่เด็ก แก้ว ฝักบัว ขันน้ำ ก็อกน้ำ ผ้าเช็ดเท้า และถังขยะ
สำหรับการอาบน้ำเด็ก ถ้าเราวางอ่างอาบน้ำไว้ต่ำ
จะทำให้ต้องก้มเยอะเวลาจับลูกอาบน้ำ (อาจทำให้ปวดเมื่อยหลังง่าย)
ที่บ้านก็เลยใช้วิธีวางอ่างบนโต๊ะสูงระดับเอว ทำให้ยืนอาบน้ำลูกสบายๆ

IMG_2901

Reasons to cry

พฤติกรรมเด็กน้อยช่วงเดือนแรกนี้ยังไม่มีอะไรมาก
หิวก็ให้ดูดนม กินอิ่มก็จะนอนหลับ
ฉี่/อึก็เปลี่ยนแพมเพิร์ส

และที่มาของความหลากหลายนั้น เริ่มต้นที่การ “แหกปาก” ครับ

IMG_1686

มันอยู่ในสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตที่เรียกร้องความช่วยเหลือ
เพราะยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
และก็หน้าที่อันสำคัญยิ่งของพ่อแม่ที่จะต้องช่วยแก้ปัญหาให้ลูกน้อย

แต่ปัญหาที่เจอคือ ช่วงแรกพ่อแม่มือใหม่อย่างพวกเรายังแยกไม่ออกครับ
ว่าระหว่าง หิวกับปวดท้อง มันต่างกันยังไง
(สาเหตุของปวดท้องที่เจอคือหลังกินนมแล้วไม่ได้จับนอนเรอ
ทำให้น้องแน่นท้องแล้วซักพักก็จะเริ่มโวยวาย)

จุดนี้ขอให้เชื่ออย่างนึงไว้ก่อนเลยว่า
การที่เด็กเล็กอย่างเขาร้องออกมานี่
เขาต้องการจะสื่อสารอะไรซักอย่างกับเรา
เพียงแค่เขายังไม่รู้จักวิธีสื่อสารแบบเป็นระบบอย่างภาษาแค่นั้นเอง

IMG_1109

หลังจากที่ผมพยายามฟังและคอยสังเกตอยู่พักใหญ่
เราสองคนก็เริ่มแยกได้ว่าเสียงร้องของแต่ละอาการไม่เหมือนกัน
เวลาหิว ลูกผมจะออกเสียงคล้ายๆ อะแฮ้! (เสียงชัดแจ๋ว….)
แต่เวลาปวดท้องจะร้องและทำท่ามือเกร็งๆหน่อย (แต่เสียงร้องจำแนกได้ไม่ชัดเจน)
แต่ถ้าง่วงนี่ ลูกอ้าปากหาวเลยไม่ต้องเดาให้เสียเวลา

พอจับรูปแบบเสียงได้ ชีวิตก็เริ่มง่ายขึ้นอีก steps

(*) เคยมีฝรั่งที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเสียงร้องของเด็กทารก
มาวิเคราะห์เสียงของเด็กไทย พบว่ามีรูปแบบชัดเจนอยู่ 5 เสียง
ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมดูนะครับ 🙂

IMG_2620

Yellow skin

ปัญหาต่อมาที่เราเจอก็คือ
น้องนอนหลับสั้นมาก และตื่นบ่อย
คุณแม่ก็เริ่มไม่ได้นอน และอ่อนเพลียลงๆ
แล้วพอถึงกำหนดครบ 7 วันที่ต้องพาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาล
เราก็ได้ยินข่าวร้ายจากคุณหมอ น้องตัวเหลืองเกินค่ามาตรฐาน

ต้นเหตุของปัญหาคือน้องได้น้ำนมน้อยเกินไป ทำให้ขับสารเหลืองออกได้น้อย
วิธีแก้ก็คือต้องให้น้องได้นม(หรือน้ำ)ให้เพียงพอ
แล้วน้องจะขับสารเหลืองออกจากร่างกายได้ดีขึ้นเอง

สาเหตุสำคัญอันหนึ่งคือ วิธีการดูดของน้องยังไม่ถูก
เช่น น้องอ้าปากไม่กว้างพอ ทำให้งับได้แค่หัวนม
ลิ้นจึงไม่สามารถไล่นมจากฐานล่าง ทำให้ได้ปริมาณนมน้อย

พอทำผิดวิธีบ่อยๆก็ชิน ไม่ยอมอ้าปากกว้าง ทำให้ยิ่งกินยิ่งได้นมน้อย
พอนมถูกใช้น้อย ร่างกายก็ไม่ได้ผลิตนมเพิ่ม เลยยิ่งทำให้นมน้อยไม่พอกิน

47921

และการที่น้องได้นมน้อย ยังส่งผลให้น้องนอนหลับได้สั้น (เพราะไม่อิ่ม)
พอไม่อิ่มก็ตื่นไว แล้วก็วนเวียนเป็นลูปไม่รู้จบไปเรื่อยๆ ซึ่งบั่นทอนพลังงานคุณแม่มาก

ทุกคนส่งผลต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ยาวชนิดที่คิดไม่ถึง

นอกจากนี้…

สถานการณ์แบบนี้ ยังทำให้คุณแม่บางคนที่มีนมน้อยเริ่มถอดใจ
เปลี่ยนไปใช้นมชงแทนนมแม่ พอใช้นมชง ร่างกายก็ถูกลูกดูดกระตุ้นน้อยลง
นมแม่ก็ยิ่งลดน้อยลงไปอีก ทำให้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้นมผงเลี้ยงลูกต่อไป

ซึ่งนี่คือจุดสำคัญที่ทำให้บริษัทนมผงพยายามแจกตัวอย่างนมผงให้ว่าที่คุณแม่แต่เนิ่นๆ
เพราะเมื่อเกิดโอกาสเปลี่ยนจากนมแม่เป็นผงแล้ว ยากจะกลับไปให้นมแม่ได้อีก
และกลายเป็นกลวิธีทางการตลาดของบริษัทนมผงที่ใช้มาตลอดหลายสิบปี

47917

เพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เราก็ตัดสินใจให้น้อง admit เข้าโรงพยาบาล
จับน้องแก้ผ้าส่องไฟ (มีผ้าปิดตาน้อง) และให้น้ำเกลือช่วย 😦

47923

นี่เป็นช่วงเวลาที่ทำใจลำบากมาก
และเสียใจที่ยังดูแลน้องได้ไม่ดีเวลาเห็นลูกโดนใส่สายน้ำเกลือ 😥
(เริ่มเข้าใจคำว่าเห็นลูกเจ็บแล้วเจ็บแทน ตอนที่เห็นลูกชายวัย 7 วันโดนเข็มเสียบมือ)

แต่ในที่สุด

มันก็ผ่านไป….

เด็กน้อยค่าตัวเหลืองลดลงตามลำดับ

และคุณหมอให้กลับบ้านได้ TvT

Different ways

ข้อดีของการเลี้ยงลูกน้อยในบ้านที่มีญาติผู้ใหญ่คอยช่วยสนับสนุนอยู่ข้างๆ
คือโอกาสเรียนรู้ ทักษะเล็กๆน้อยๆในการดูแลลูกที่คุณแม่มือใหม่ยังไม่ค่อยชำนาญ
ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำเด็ก การกล่อมนอน การปลอบและการหลอกล่อ ฯลฯ
บางครั้งอาจรวมไปถึงการดูแลเรื่องอาหารการกิน การปลอบ
หรือการช่วยดูแลเด็กน้อย ยามที่คุณแม่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ

แต่ในบางบ้าน ความคิดเห็นหรือวิธีในการเลี้ยงดูของผู้ใหญ่บางท่านอาจแตกต่างกัน
จนมาสู่ปัญหาความขัดแย้งในการดูแลเด็กน้อย จนทำให้ความสุขในการเลี้ยงดูลูกลดน้อยลงไป

ปัญหาเหล่านี้ ผมก็เจอ…

และกว่าจะผ่านมันไปได้ก็ใช้ทั้งเวลาและวิธีมากมายเผื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ผมเห็นเพื่อน/น้องบางคนตั้งใจ(อย่างมาก) ที่จะแต่งปั้นลูกให้เติบโตเป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ต้องฝึกแบบนั้นแบบนี้ ต้องเลี้ยงอย่างนี้ ฯลฯ โดยสร้างกำแพงกั้นระหว่างคนต่างวัยขึ้นมา

ผมไม่คิดว่า นั่นคือทางออกที่ดีที่สุดสำหรับปัญหานี้นะครับ..

เพราะการทำแบบนั้น คือการตั้งใจให้และคาดหวังกับลูก
มากเสียจนอาจจะทำให้คุณมองข้าม
ความสุขของคนที่เข้ามาช่วยดูแลเด็กน้อยไป

และเมื่อความสุขของคนรอบข้างไม่มี
คุณคิดหรือว่าคุณจะสามารถเลี้ยงดูลูกน้อยอย่างมีความสุขลำพังไปได้ยาวนาน

….

..

.

ถ้าถามว่าจุดสมดุลระหว่างคนต่างวัยภายในครอบครัวนั้นอยู่ตรงไหน…
ผมไม่มีคำตอบสำเร็จรูปให้นะครับ

มันเป็นเรื่องที่แต่ละครอบครัวต้องไปปรับจูนกันเอง ตามวิธีแลกเปลี่ยนความเห็น
และสไตล์การทำความเข้าใจของผู้ใหญ่ในแต่ละบ้าน
สิ่งบางเรื่องอาจจะง่าย แต่บางเรื่องอาจจะยากมาก
โดยเฉพาะเรื่องความเชื่อ

ปัจจุบันเรามีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิธีการดูแลลูก
ที่สามารถพิสูจน์ว่าดีกว่าวิธีการในยุคก่อน
ซึ่งมักจะกลายเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดปัญหาระหว่างวิธีเลี้ยงของคนสองยุค
ไม่ว่าจะเป็น

– เด็กยังไม่รู้เรื่อง และไม่เข้าใจที่เราพูด
– ความเชื่อที่ว่าการปล่อยให้เด็กร้องไห้ช่วยทำให้ปอดขยาย
– ถ้าไม่ดัดขาเด็ก โตมาจะขาโก่ง
– ทาอัญชันแล้วคิ้วจะดก

IMG_1460

– หลังคลอดแม่ต้องอยู่ไฟ
– กินอาหารเสริมเร็วๆ
– นมแม่หมดประโยชน์เมื่อครบหกเดือน
– ปลุกลูกมากินนมตอนดึกๆจะทำให้โตไว
– การอุ้มมากจะทำให้เด็กติดอุ้มและไม่ดี
– ต้องอุ่นนมให้อุ่นก่อนกินถึงจะดี

ฯลฯ

ผมเชื่อว่าตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มีข้อมูลมากกว่าสมัยรุ่นพ่อรุ่นแม่เราหลายแสนเท่า
เรามีผลงานวิจัยที่ทดลองกับเด็กจำนวนมากเพื่อพิสูจน์ความเชื่อทั้งหลาย
ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่วิธีการของคนรุ่นก่อนมันไม่ถูก

แต่ปัญหาคือข้อมูลยุคใหม่มันไปไม่ถึงคนรุ่นนั้นต่างหาก
ถ้าคุณทำตัวเป็นตัวเชื่อมคนรุ่นก่อนกับข้อมูลยุคใหม่ได้
ผมเชื่อว่าปัญหาหลายๆอันจะลดลงไปได้เยอะเลย

และนี่เป็นทางออกที่ครอบครัวผมใช้ได้ผลมากพอสมควร
(หมายเหตุ ไม่จำเป็นว่าต้องใช้แค่คนในครอบครัวที่เป็นตัวเชื่อมนะครับ)

เอาเวลาไปเล่นกับลูกมากๆ ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการได้ดีกว่าของเล่นชิ้นไหนๆ
ช่วงเวลาที่เด็กพัฒนาและซึมซับลักษณะของพ่อแม่ได้ดีที่สุด คือช่วงสามขวบแรก
อย่าปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์นะครับ

🙂

ภาคต่อไป จะเป็นปัญหาระดับสามเดือนของเด็กน้อยครับ 🙂

สิ่งที่ต้องเจอหลังคลอด (ภาค 1)

01 Sunday Mar 2015

Posted by windygallery in Love

≈ 1 Comment

Tags

ครอบครัว, คลอด, ทารก, อาบน้ำ

มีคนเตือนผมไว้ว่า ช่วงเดือนสุดท้ายก่อนคลอด
ให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่นอนตุนไว้เยอะๆ
เพราะเดี๋ยวพอภรรยาคลอดน้องออกมาแล้ว จะไม่ได้นอนกัน

ตอบตามตรง ตอนที่เพื่อนๆเตือนนั้น
ผมก็ยังนึกไม่ออกหรอก ว่ามันเป็นอย่างไร
แต่แล้ววันเวลาที่ผู้คนกล่าวขวัญถึงก็มาถึงในอึดใจเดียว…

A moment

IMG_0960

“คลอดแล้ว!”

เสียงเด็กน้อยร้องดังลั่นออกมาจากห้องคลอดท่ีอยู่ปลายทางเดินทำเอาผมตื่นเต้น
ผมรีบกดเซฟหน้าจอมือถือไว้เพื่อจะได้บันทึกเวลาเกิดของลูกชายตัวน้อยเอาไว้ก่อน
เผื่อเวลาใครถามเวลาเกิดตอนหลัง จะได้ไม่ลืม..

“ยังเข้าห้องไม่ได้นะคะ”

คุณพยาบาลเบรคผมไว้ก่อนที่ผมจะพุ่งเข้าไปห้องคลอด

“ตอนนี้คุณหมอกำลังทำคลอดรกให้ภรรยาคุณอยู่นะคะ รอซักครู่ เด็กน้อยปลอดภัยดีค่ะ”

ผมก็เลยได้แต่ยืนเก้ๆกังๆรออยู่หน้าห้องคลอดอีกพักใหญ่
จนทุกอย่างเรียบร้อยดีก็รีบเข้าไปหาคุณแม่ป้ายแดงที่นอนอ่อนเพลียอยู่บนเตียง

IMG_0961

“ลูกยังไม่ยอมดูดนมเลย”

แฟนบอกผมเบาๆสีหน้าเธอผิดหวังนิดหน่อยเพราะเธออ่านเจอมาว่า
ถ้าหลังคลอดเสร็จแล้วลูกดูดนมทันทีจะช่วยกระตุ้นให้น้ำนมมาไว
ผมบอกเธอว่าไม่เป็นไรหรอก พักผ่อนก่อนดีกว่า แล้วก็รีบไปดูเจ้าตัวเล็กต่อ
คุณพยาบาลจัดการน้องเสร็จพอดี น้ำหนัก 2.94 kg.
ดูไม่เยอะ แต่ก็ไม่น้อยสำหรับคุณแม่ตัวเล็กขนาดนี้

IMG_0998

เราได้ถ่ายรูปครอบครัวรูปแรกด้วยกันนิดหน่อยในชุดปลอดเชื้อและหนูน้อยถูกห่อเป็นดักแด้
ก่อนเจ้าตัวเล็กจะถูกพาไปตรวจเพิ่มเติมที่ห้องพักของเด็กแรกเกิดที่ชั้นถัดไป
ถึงตอนนี้เราได้แต่พักผ่อน เพราะปล่อยให้เจ้าตัวเล็กอยู่ในความดูแลของคุณหมอ
จนถึงพรุ่งนี้เช้าพวกเราถึงจะมีโอกาสดูหน้าลูกกันจริงๆจังๆ

หลังจากที่คุณพยาบาลพาคุณแม่ไปมาพักฟื้นต่อที่ห้องพัก
คุณแม่ก็เริ่มบ่นหิวเพราะแทบไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่คุณหมอบอกให้
เตรียมคลอดตอนสิบโมงเช้าจนกระทั่งสองทุ่มกว่า
และด้วยความผิดพลาดทางการสื่อสารก็ทำให้เราพลาดอาหารมื้อเย็นของโรงพยาบาลไป

คุณแฟนเริ่มทำหน้ามุ่ย และฝนเริ่มตก โชคดีที่ใกล้ๆโรงพยาบาลมี 7-11 อยู่ไม่ไกลนัก
ผมเลยแวะไปลงดูน้องในตู้อบเพื่อตรวจดูว่าน้องนอนหลับหรือยัง แล้วไปหาซื้อโจ๊กอุ่นๆมาให้แฟนทาน

ผมมารู้ทีหลังว่าวันนั้นเป็นวันที่ฤกษ์ดีมากในรอบเดือนเลยทีเดียว
มีเด็กเกิดวันเดียวกันและโรงพยาบาลเดียวกันถึง 5 คน
เป็นผู้ชายล้วน (ลูกผมคลอดเป็นลำดับสุดท้าย)

เด็กน้อยนอนอยู่ในตู้อบเรียงกันห้าตู้ริมกระจก มีสายวัดชีพจรแปะอยู่แถวเท้า
โดยรวมไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แม้ว่าจะแหกปากร้องดั่นลั่นทะลุกระจกจนหน้าดำหน้าแดงนิดหน่อย

หน้าตาของเด็กน้อยออกค่อนข้างชัดเจนว่าถอดแบบคุณแม่มาปากเล็กบาง
จมูกไม่แบนเท่าไหร่หัวกลมและยาวเพราะคลอดตามธรรมชาติ
มีแค่ดวงตาที่ยังเห็นไม่ชัดว่าเหมือนใคร  เพราะหนูน้อยเล่นหลับตาเกือบจะตลอดเวลา

“พรุ่งนี้เราเจอกันนะ”

ผมคิดไว้ในใจแล้วก็รีบกลับขึ้นไปดูแลคุณแม่ต่อ

A first day

เช้าวันใหม่มาถึง
ช่วงเวลาพักฟื้นคุณแม่ก็เริ่มต้น
เรื่องพื้นฐานพวกยาและการตรวจจากคุณหมอไม่มีอะไรน่าห่วงหรือเกินความคาดหมาย
สิ่งเดียวที่เราตื่นเต้นก็คือ พอเรารับน้องมาแล้วเราจะให้นมเขาได้หรือเปล่า

ในฐานะคุณพ่อมือใหม่ผมทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากเอาใจช่วยคุณแม่ที่ยังเก้ๆกังๆอยู่
ตอบตามตรงว่าช่วงแรกของการพบกันอีกครั้งกับเด็กน้อย
ยังไม่ได้รู้สึกว่าหลงรักหัวปักหัวปรำ
เหมือนที่ในหนังหรือนิยายชอบบรรยายไว้หรอก

มันเป็นแค่ความรู้สึกแปลกประหลาดดีที่อยู่ๆเราก็มีอีกชีวิตที่เกิดขึ้นมาให้เราดูแล
เป็นชีวิตเล็กๆที่ยังไม่รู้อะไรและยังคุยกับเราไม่เป็น…

First Milk

สำหรับคุณแม่ ช่วงวันแรกนี้คือการปรับตัวครั้งใหญ่
หลังจากทำหน้าที่อุ้มท้องโตมา 9 เดือน ก็กลายเป็นการให้นมลูก

IMG_1016

อาหารมื้อแรกๆของคุณแม่ก็เลยถูกจัดมาเสริมส่วนใหญ่
เป็นอาหารกลุ่มที่ผู้คนบอกต่อกันว่ากันช่วยบำรุงน้ำนมไม่ว่าจะเป็นแกงเลียงไก่ผัดขิงฯลฯ

IMG_1013

แต่เรื่องจริงก็คือถึงแม้จะใช้อาหารและยากระตุ้นแล้ว
นมมันก็ไม่ได้จะมาปุ๊บปั๊บหลังคลอดเหมือนกันทุกคน
ระหว่างที่นมยังไม่มา หนูน้อยก็เลยต้องกินนมชงไปก่อน

แม้ตอนแรกเราจะไม่ค่อยชอบนัก
แต่พอมองย้อนกลับไปอีกที มันก็ช่วยลดความเครียดของคุณแม่ได้มาก
เพราะถ้าลูกมาร้องหิวอยู่ตรงหน้าแต่นมยังไม่มา อาจทำให้คุณแม่ใจเสียและเครียดมากเกินไป

IMG_1050

ช่วงวันแรกๆนี้

เด็กน้อยยังไม่ค่อยลืมตาเท่าไหร่ (ลืมตามาก็เจอแต่หลอดไฟบนเพดาน)
พอร้องหิวคุณแม่ก็หัดจับเข้าเต้าเพื่อกินนม ซึ่งตอนนี้เรายัง “ไม่ค่อย” รู้อะไรนัก
ว่ามันมีรายละเอียดบางอย่าง ที่ส่งผลให้พวกเราสองคนจะไม่ได้หลับได้นอนไปอีกเป็นเดือนๆ

เบื้องต้นเราต้องเข้าใจตรงกันก่อนว่าช่วงแรกเกิดเด็กน้อยยังตัวเล็กนัก
และขนาดของกระเพาะน้องเค้ายังมีขนาดแค่นิดเดียว
ปริมาณนมเล็กน้อยที่นมแม่เริ่มผลิตได้ก็เพียงพอจะทำให้เขาอิ่มและนอนหลับได้แล้ว
ดังนั้นยังไม่ต้องคิดกังวลมากเรื่องนมที่ช่วงแรกจะมาน้อยไม่พอกิน
ปริมาณนมที่เขาต้องการจะค่อยๆเพิ่มขึ้นตามเวลาเอง

นอกเหนือจากเรื่องการให้นมแล้ว
ช่วงนี้คุณพยาบาลก็จะมาสอนเรื่องการดูแลทำความสะอาดจับน้องอาบน้ำ
จับน้องเรอหลังให้นมและการเช็ดทำความสะอาดสะดือการอุ้มการพันผ้าห่อตัว

ตรงส่วนนี้เพื่อนสนิทผมที่อยู่ที่อเมริกาเล่ากว่า ที่นั่นเขาจะให้คุณพ่อถอดเสื้อแล้วกอดลูกไว้
ให้เกิดการสัมผัสผิวระหว่างกันโดยตรงมันจะทำให้ลูกคุ้นเคยกับคุณพ่อได้ไว

ส่วนผมได้หัดลูกอาบน้ำเป็นคนแรก (เพราะช่วงวันแรกคุณแม่ยังเจ็บแผลอยู่)
ผลพลอยได้ที่เห็นได้ชัดก็คือหลังจากนั้นลูกก็ไม่เคยร้องเวลาผมอาบน้ำให้เลย
(ในขณะที่ญาติผู้ใหญ่จับอาบน้ำแบบเดียวกันกลับร้องเอาๆ)
ซึ่งก็ทำให้รู้สึกได้ว่า เค้าจำสัมผัสแรกๆได้จริงๆ

แล้วเวลาก็ผ่านไปจนถึงวันที่สาม
น้ำนมหยดแรกที่พวกเรารอคอยก็เริ่มหยด

IMG_1049(แค่นี้จริงๆนะ)


Final exam (Last night)

ตามปกติ package คลอดหลักๆของโรงพยาบาลต่างๆมักจะมีสองแบบตามลักษณะการคลอด
คือถ้าคลอดธรรมชาติจะได้อยู่พักฟื้นที่โรงพยาบาล x วัน (เช่น 3 วัน)
แต่ถ้าผ่าคลอดจะได้พักฟื้นทั้งหมด x+1 วัน (เป็น 4 วัน)

พวกเราสองคนคิดกันว่า

ในคืนสุดท้ายก่อนกลับบ้านจะลองเอาลูกมาเลี้ยงเองตลอดทั้งคืน
เพราะก่อนหน้านี้คือพยาบาลเอาลูกมาให้ดูดนมสลับกับเอาไปพักที่ห้องพยาบาลตลอด
แฟนก็เห็นด้วย ถือเสียว่าซ้อมมือก่อนกลับบ้าน

ปรากฏว่างานเข้าเพราะเด็กน้อยร้องตลอดเวลา
ให้นม,เปลี่ยนแพมเพิร์สกับอุ้มยังไงก็ไม่หยุด
กินได้นิดหน่อยนอนแป๊บเดียวก็ตื่นมาร้องไห้
แล้วพอจับจะให้กินนมต่อ ก็ไม่ยอมกิน
ทั้งพ่อและแม่ก็เริ่มใจเสียอะไรที่เคยอ่านไว้รู้สึกมันใช้ไม่ได้ผล
และเริ่มรู้สึกว่าวิธีสื่อสารกับทารกมันไม่ได้ผลอะไรเลย

หลังจากลองพยายามกันทุกวิธีทางจนถึงตีสองกว่าๆ สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้นจนเริ่มเครียดกัน
พวกเราก็เลยขอความช่วยเหลือจากห้องพยาบาลกะดึกวันนั้น
คุณพี่พยาบาลก็เข้ามาช่วยดูและค่อยๆลองปรับทีละอย่างจนสถานการณ์เริ่มดีขึ้น

IMG_1028

สาเหตุที่แท้จริงของเหตุการณ์นั้นก็คือน้องอารมณ์เสีย
พอจับกินนมปกติโดยไม่ทำให้น้องอารมณ์เย็นลงก่อนน้องก็ไม่ยอมกิน
คุณพี่พยาบาลต้องทำการปลอบ (อุ้มพาดบ่า ตบก้นเบาๆเพื่อปลอบ)
จนน้องเริ่มคลายอารมณ์เสียแล้วถึงยอมกินนมและนิ่งลงได้

ซึ่งไอ้วิธีที่ว่ามานี่ตอบตามตรงในฐานะคุณพ่อคุณแม่มือใหม่
คือพวกเราไม่รู้จริงๆว่าการปลอบให้นิ่งก่อนจะมีผลถึงขนาดนี้

นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่น
การจัดท่านั่งให้นม วิธีอ้าปากดูดที่แคบไป จังหวะอ้าปาก
หรือแม้กระทั่งการทำให้เรอจะส่งผลให้น้องไม่ปวดท้องในภายหลัง
มันเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ต้องใส่ใจค่อนข้างมาก

และคืนนั้นเราก็ผ่านมันไปได้ด้วยความช่วยเหลือของคุณพี่พยาบาล
(ไม่ได้นอนกันจนถึงตอนเช้า แล้วก็ไปให้คุณแม่หัดอาบน้ำต่อ)
ซึ่งเหตุการณ์นี้ทำให้เราประเมินกันเองว่าถ้ากลับบ้านไปทั้งที่ยังสอบตกอยู่คงไม่ดี
เลยเลือกที่จะจ่ายค่าห้องเพิ่ม เพื่อขออยู่ฝึกวิธีดูแลลูกต่ออีกหนึ่งคืนแทน

Name & Documentation

ขอเพิ่มเติมเรื่องเล็กๆอีกเรื่องหนึ่ง คือเอกสาร

โดยปกติแล้วการแจ้งเกิดมันไม่ได้ยากอะไร
เพราะทางโรงพยาบาลจะบอกไว้ให้ก่อน ว่าต้องเตรียมอะไรไว้บ้าง
แต่ปัญหาที่ครอบครัวผมเจอก็คือ ชื่อของเด็กน้อยที่เตรียมไว้ ไม่เข้ากับวันเดือนปีเกิดจริง
โดยส่วนตัวของผมนั้นไม่ถือเรื่องนี้เลยแต่ทางญาติผู้ใหญ่หลายคนถือ
ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นเคสเด็กเกิดวันจันทร์ ชื่อจะต้องไม่มีสระ(เป็นกาลกิณี)

ซึ่งผมกับแฟนตั้งชื่อเก็บไว้เก้าชื่อ คำนวณแล้วลงวันได้ ยกเว้นวันจันทร์, พฤหัสและศุกร์
แต่น้องคลอดวันจันทร์ เลยต้องโยนชื่อทิ้งแล้วคิดใหม่กันหมด
และพอชื่อไม่ได้เอกสารทั้งหลายก็จะเริ่มรอคิวเป็นพรวน เช่น
ใบสูติบัตร(ปกติต้องแจ้งทางโรงพยาบาลในสามวัน) ทะเบียนบ้าน(เพื่อย้ายเข้า)
และยาวไปจนถึงการเบิกเงินหรือทำประกันให้น้อง

ดังนั้นถ้าบ้านใครถือเรื่องนี้แนะนำให้เตรียมชื่อสำรองเผื่อกันไว้ให้ดีครับ
หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยดี เราก็พาเด็กน้อยกลับบ้าน

จบภาคแรก

ภาคต่อไป จะเล่าปัญหาหลังจากพาน้องเข้าบ้านไปแล้วครับ 🙂

21 คำถามเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งครรภ์

18 Monday Aug 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

baby, pragnancy

สรุปข้อมูลความรู้ในการดูแลคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคำถามที่คนมักถามหมอบ่อยๆเอาไว้กันลืมครับ 🙂

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

 

1. อะไรคือ ดาวซินโดรม?
โรคผิดปกติทางพันธุกรรมแบบหนึ่งที่ส่งผลให้สติปัญญาต่ำกว่าปกติ สาเหตุส่วนนึงมาจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเซลล์ไข่ ยิ่งคุณแม่มีอายุมากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงขึ้น ตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ทั้งอัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดและน้ำคร่ำ (ทั้งนี้บางครั้งมีโอกาสได้ผลตรวจผิดพลาดอยู่บ้าง)

2. การแพ้ท้องเกิดจากอะไร และมียาแก้ไหม?
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลให้ จมูกดีขึ้น ได้รับรู้กลิ่นอะไรง่ายและอาจเหม็นจนทำให้คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรืออื่นๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มียาแก้ ผู้ชายต้องเข้าใจและทำใจ การหลีกเลี่ยงกลิ่นที่เป็นสาเหตุของเหม็นจะช่วยลดอาการแพ้ได้ การกินอาหารผิดปกติโดยความเชื่อว่าจะช่วยลดอาการแพ้ไม่ใช่สิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อแม่และเด็ก คุณพ่อควรคอยเบรคในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะที่ควรจะเป็น

บางกรณีผู้ชายอาจแพ้ท้องร่วมด้วย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลถึงคุณพ่อที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ได้

3. ป่วยกินยาอะไรได้บ้าง ขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่ยาทุกชนิดที่ปลอดภัยสำหรับทารกขณะต้ังครรภ์ กรุณาปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ
อย่าเชื่อคำพูดที่เล่าต่อกันมาโดยไม่มีการรับรอง (รวมถึงยาสมุนไพรด้วย)

4. บุหรี่และเหล้า มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
บุหรี่มีสารเคมีหลายตัวที่เป็นพิษต่อเด็กในครรภ์ ทั้งควันที่เกิดจากการเผาไหม้ยังทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงทารกได้น้อยลง ในขณะที่แอลกอฮอล์ในเหล้าทำลายระบบสมองและประสาทของเด็กได้ เพิ่มโอกาสในการแท้งบุตร ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหลังคลอด สมาธิสั้น และเพิ่มโอกาสพิการ (ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ดื่มเหล้าตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนคลอดและยังให้นมบุตรอยู่)

5. อาหารแบบไหนที่ทำให้ลูกโต ?
ร่างกายของทารกสร้างจากโปรตีนเป็นหลัก ตามคำแนะนำของแพทย์หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคไข่ไม่เกินวันละ 1 ฟอง (คนปกติไม่เกิน 3 ฟอง/อาทิตย์) และกินอาหารให้หลากหลายรวมทั้งผักและผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินขนมหวานที่มีไขมันและน้ำตาลมาก จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มแต่ไม่ช่วยให้ลูกโต และจะคงค้างหลังคลอดได้ง่าย

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

6. น้ำมะพร้าว และ ทุเรียน ควรกินหรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์ ?
มีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวจะช่วยให้เด็กออกมาขาวและไม่มีไข ซึ่งไม่เป็นความจริง ความขาวของลูกมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ และไขมันที่ติดออกมาจากตัวลูกตอนคลอดก็เป็นธรรมชาติที่สร้างไว้ปกป้องการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายเด็ก จริงๆแล้วน้ำมะพร้าวมีเกลือแร่และวิตามินที่มีประโยชน์แต่มีน้ำตาลที่สูงมาก การกินบ่อยครั้ง จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่เป็นเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ (ทุเรียนก็น้ำตาลสูงเช่นกัน)

7. การทาครีมทาท้องกันแตกลายช่วยได้ไหม ?
ต้นเหตุหลักของท้องแตกลาย คือการที่ท้องขยายมากเกินไปและถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ยืดตลอดเวลา ครีมไม่ได้ทำให้ท้องไม่แตก แต่แค่บำรุงให้มีความชุ่มชื้นที่ผิว การป้องกันท้องแตกที่มีประสิทธิภาพกว่าคือควบคุมไม่ให้ท้องขยายเนื่องจากอ้วนเกินไป นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกางเกงแบบที่เสริมผ้าสำหรับช่วยประคองครรภ์ ท่ีทำให้ผิวหนังหน้าท้องไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไปด้วย

8. ยารักษาสิว เครื่องสำอาง และน้ำยาทาสีผม มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
ยารักษาสิว และเครื่องสำอางหลายตัวมีผลเสียต่อทารก ส่วนน้ำยาทำสีผมก็สามารถซึมผ่านรากผมเข้าสู่กระแสเลือดได้เช่นกัน คำแนะนำของหมอคือ ให้คุณแม่หยุดห่วงเรื่องความสวยความงามในช่วงตั้งครรภ์ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดผลเสียกับทารกในครรภ์

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

9. ภูมิแพ้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นภูมิแพ้จะมีโอกาสทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นภูมิแพ้สูงกว่าพ่อแม่ที่ไม่เป็น หลักฐานทางการแพทย์พบว่าการที่คุณแม่ดื่มนมวัวขณะตั้งครรภ์ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยกินปกติ จะเพิ่มโอกาสกระตุ้นให้ลูกแพ้นมวัวมากขึ้น คำแนะนำคือให้บริโภคนม(รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีส่วนประกอบของนม เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศครีม เนย ชีท ฯลฯ)ในปริมาณปกติ (หรือลดลง) แล้วไปเสริมแคลเซี่ยมและสารอาหารจากทางอื่นแทน

นมถั่วเหลืองและถั่วก็เป็นหนึ่งในสารที่พบว่ากระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน

 

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

10. ฟังเพลงโมสาทแล้วลูกจะฉลาดจริงเหรอ?
เป็นความผิดพลาดของสื่อมวลชนที่สื่อสารออกไปให้คนเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องนึง การวิจัยเรื่องเพลงโมสาทมีผลต่อความเรียนรู้ของเด็กนั้นถูกทดสอบที่เด็กในระดับชั้นเล็กๆไม่ใช่ในท้อง และผลการทดสอบคือ การฟังเพลงโมสาทน้อยกว่า 10 นาทีต่อวัน ช่วยกระตุ้นด้านการศึกษามิติสัมพันธ์ในเด็กได้ดีขึ้น ไม่ใช่ฉลาดขึ้นทุกเรื่องอย่างที่ข่าวสื่อออกไป ในทางกลับกันพบว่าการฟังเพลงคลาสิกอาจทำให้คุณแม่ที่ไม่คุ้นเคยเกิดความเครียดได้แทน

11. เสียงดนตรีแบบไหนดีต่อเด็กในครรภ์ ?
มีการศึกษาพบว่าเสียงดนตรีสามประเภทคือ กลอง เครื่องสาย(เช่นกีตาร์) และเปียใน ส่งผลกระตุ้นสมองต่างส่วนกัน และเสียงเครื่องดนตรีประเภทเปียโนดีต่อการพัฒนาสมองด้านความคิดและอารมณ์มากที่สุด ในขณะที่เสียงเพลงประเภทกลองไม่ค่อยเหมาะกับการให้ทารกในครรภ์ฟัง เนื่องจากเสียงจะไปตีกับเสียงหัวใจที่ดังภายในตัวแม่

12. ความเครียดของแม่ มีผลอย่างไรกับตัวลูก ?
ความเครียดของแม่สามารถส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ และยับยั้งพัฒนาการของสมองเด็ก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกันภายในครอบครัว ฟังเพลงคลาสิกที่ไม่ชอบมากไป อารมณ์เสีย ทำงานหนักไป ล้วนทำให้เด็กลดพัฒนาการลง วิธีแก้คือ ไม่เครียด ปล่อยวาง และทำให้คุณแม่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา (อันนี้เป็นหน้าที่คุณพ่อและคนในครอบครัวช่วยกันดูแล)

13. เก้าอี้โยกมีผลยังไงกับทารกในครรภ์ ?
มีผลการทดสอบพบว่าช่วยกระตุ้นให้เด็กรับรู้และมีพัฒนาการด้านการทรงตัวได้ดี และยังมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่นั่งเก้าอี้โยกบ่อยจะลดความเสี่ยงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

14. การพูดคุยกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลยังไงบ้าง ?
ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงของพ่อแม่ (มีการทดสอบในไทย พบว่าลูกจำเสียงพูดและเสียงหัวใจของแม่ได้ตั้งแต่คลอดออกมา – หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงแม่พูด หรือนอนแนบอกแม่ได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้น) และเมื่อเปรียบเทียบกับเสียงของพ่อที่ทุ้มกว่า ลูกจะจำได้ดีกว่า

15. คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม?
ปกติที่อนุญาติคือช่วงไตรมาส 2 (เดือน 4 – 6) จะมีความเสี่ยงต่ำสุด
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสายการบินด้วย

16. ลูกสะอึก ภายในครรภ์ เกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่?
ส่วนของปอดเริ่มทำงานและเด็กเริ่มกลืนเป็น ไม่อันตรายอะไร

17. การดูแลรักษาฟันในช่วงตั้งครรภ์
คุณแม่ควรไปพบทันตแพทย์ในช่วงไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) เพื่อดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรง เพราะการมีฟันผุจะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

18. ฤกษ์เกิด มีผลต่อความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ถ้าฤกษ์ดึกมาก หมอและพยาบาลง่วงนอน ความเสี่ยงคือความปลอดภัยของแม่และเด็ก
ถ้าฤกษ์ระบุเจาะจงเวลามาก เช่นต้องนาทีนี้เป๊ะๆ หมอและพยาบาลต้องทำเผื่อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ตามฤกษ์ (เพื่อความยุ่งยากและความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุคาดไม่ถึง)

การทำคลอดแบบวิทยาศาสตร์ที่บีบบังคับด้วยความเชื่อ ทำให้ความลำบากตกอยู่ที่ทีมหมอและพยาบาล แต่ความเสี่ยงอยู่ที่คุณแม่และเด็ก

19. น้ำนมแม่จะพอไหม ?
ช่วงแรกที่คลอดต้องรีบกระตุ้นโดยให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ซึ่งช่วงแรกจะมีน้อยแต่ก็พอต่อความต้องการและขนาดกระเพาะของเด็ก แล้วร่างกายจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงต่อความต้องการของลูกเอง แต่ถ้าให้ลูกกินนมผง แล้วร่างกายของแม่ไม่โดนกระตุ้นต่อเนื่อง จะทำให้น้ำนมลดลง จนกระทั่งน้ำนมผลิตได้ไม่พอความต้องการ (ดังนั้นถ้าจะให้กินนมแม่ ต้องอดทนช่วงแรก)

การนวดกระตุ้นน้ำนมไม่ควรทำในขณะที่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้

20. นมแม่ดีต่อลูกยังไง?
นมแม่มีสารอาหารและภูมิคุ้มกันโรคมากกว่านมผงหลายสิบเท่า ไม่เสียเงินซื้อ อุณหภูมิเหมาะกับการกินตลอดเวลา ไม่ต้องใส่ภาชนะเก็บล้าง พกพาสะดวก และสร้างความอบอุ่นและเพิ่มสายใยของแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

21. จะเข้าใจเสียงร้องของทารกได้ยังไง?
มีคนวิจัยเรื่องความแตกต่างของเสียงร้องเด็กทารกไว้บ้างแล้วครับ เช่น
“เอะ” = มีลมในท้อง
“อึนเนะ” = หิว
“อาว” = ง่วง
“เฮะ” = เปียก
เป็นต้น

ในปัจจุบัน มีกลุ่ม facebook ของคุณแม่ที่ท้องช่วงเวลาใกล้ๆกัน คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์เยอะมาก ทั้งคอยอัพเดตข่าวสาร แหล่งซื้อสินค้าของเด็ก อาการและการดูแลตัวเองของคุณแม่ๆ กิจกรรม/workshop ส่งเสริมให้ความรู้ของการเตรียมตัวเป็นคุณแม่อยู่มากมายหลายที่ (ที่มักจะจัดฟรีโดยสปอนเซอร์ของสินค้าเด็กทั้งหลาย) ซึ่งในแง่ดีก็คือมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการดูแลตัวเอง แต่บางครั้งข้อมูลที่บางคนส่งต่อมาก็อาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ดังนั้นขอให้มีวิจารณญาณในการบริโภคข่าวสารอยู่เสมอ

นอกจากนี้บางโรงพยาบาลก็มีเปิดห้องคลอดให้ว่าที่คุณแม่ได้เข้าชมและสอบถามข้อมูล (ต้องติดต่อล่วงหน้า) และมีกิจกรรมอบรมต่างๆที่ช่วยเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน เช่น

โครงการเสริมสร้างคุณภาพทารกในครรภ์ ของคุณหมอ มานิตย์ แสนมณีชัย (โรงพยาบาลหัวเฉียว)
การเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ ของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
เพจนมแม่แฮปปี้ https://www.facebook.com/HappyBreastfeeding
โครงการคุณพ่อคุณภาพ ของโรงพยาบาลศิริราช
และอื่นๆอีกมากมาย

สุดท้ายนี้ก็ขอให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนใช้เวลากับการเตรียมตัวรับลูกน้อยอย่างมีความสุขทุกคนครับ (^^)

@windygallery

Image

When to make a baby and then ?

26 Saturday Apr 2014

Tags

baby, pregnancy

PregnancyMap

Posted by windygallery | Filed under Love

≈ Leave a comment

เหล้า ยา ปลาปิ้ง และหญิงมีครรภ์

20 Sunday Apr 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

บุหรี่, ยา, สมุนไพร, เหล้า

ว่าด้วยเรื่องของสุรากับหญิงมีครรภ์

DSCF0033

เวลาที่คุณแม่ดื่มเครื่องเหล้า แอลกอฮอล์จะดูดซึมเข้าไปยังกระแสเลือด
และถูกส่งต่อไปยังทารกผ่านผ่านรกโดยตรง
ซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้เกิดความพิการ, ใบหน้าผิดปกติ ปัญหาหัวใจ
น้ำหนักตัวทารกต่ำกว่าเกณฑ์ ปัญญาอ่อน หรือ เสียชีวิตของทารกได้

นอกจากนี้ยังมีผลกระทบระยะยาวหลังคลอด เช่น ปัญหาด้านการเจริญเติบโต
สมาธิสั้น ขาดความสามารถในการเรียนรู้ หรือปัญหาพฤติกรรมอื่นๆ

และภายหลังจากการคลอด หากคุณยังให้นมแก่ลูก
ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดก็จะยังถูกส่งผ่านไปทางนมที่ลูกดื่มได้เช่นกัน
ดังนั้น ในช่วงเวลา ก่อนตั้งครรภ์ ขณะตั้งครรภ์ หลังคลอดและยังให้นมลูกอยู่
ควรละเว้นจากแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด

สรุปคือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อเด็กทารก

 
บุหรี่

ควันบุหรี่มีสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกายอยู่ในหลักหลายพันสาร
แต่ที่ร้ายแรงเป็นพิเศษแบบเน้นๆ มีสองตัวคือ Carbon monoxide กับ Nicotine
ผลเสียชัดๆคือ ทำให้ปริมาณ oxygen ที่ไปถึงตัวทารกลดลง ส่งผลโดยตรง
ต่อการเจริญเติบโตของทารก และทำให้หลอดเลือดหดตัว ซึ่งทำให้ปริมาณ
สารอาหารที่ส่งผ่านไปยังทารกลดน้อยลงกว่าที่ควรจะเป็น

คำแนะนำ คือหยุดสูบบุหรี่ เพื่อปกป้องลูกน้อยของคุณจากสารเคมีมีพิษครับ
ยา

เรื่องง่ายๆที่มีอันตรายมากกว่าที่คิดเรื่องนึงก็คือ การใช้ยาทั่วไปนี่แหละครับ
เพราะคนทั่วไปมักไม่รู้ว่า ยาที่เราใช้ยามปกติบางตัวมีผลข้างเคียงถึงทารกในครรภ์
มากกว่าที่คนทั่วไปคิด มียาเพียงไม่กี่ชนิดเท่านั้นที่ผ่านการยืนยันแล้วว่าปลอดภัย
ต่อหญิงมีครรภ์ แต่ยาส่วนใหญ่พบว่ามีความเสี่ยงอยู่บ้าง(เมื่อเทียบกับประโยชน์ของตัวยา)
และยาอีกหลายชนิดที่ต้องหลีกเลี่ยงการใช้หากพบว่าผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์
สำหรับยาบางตัว เช่น Accutane, Thalomid,
Soriatane ถือเป็นยากลุ่มที่มีอันตรายอย่างรุนแรงต่อทารก
ดังนั้นก่อนใช้ยาทุกชนิดควรปรึกษาแพทย์ที่คุณฝากครรภ์ก่อนนะครับ
และไม่ใช้ยาใดๆถ้าหากจำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงที่ไม่ควรต้องลอง

หมายเหตุ: สมุนไพรก็ถือเป็นหนึ่งที่สารที่มีความเสี่ยงเช่นกัน อย่าให้ความเชื่อว่ามันปลอดภัย
มาทำให้เกิดความเสี่ยงกับทารกนะครับ ปรึกษาแพทย์ที่ดูแลครรภ์ของคุณก่อนเสมอ

 

ปลาปิ้ง

DSCF4676

อร่อยครับ…
ครบล่ะ จบตอน 😛

ว่าด้วยเรื่องอาหารของหญิงมีครรภ์

07 Monday Apr 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

food, healthy, pregnancy

DSCF4689

เนื่องจากอาหารมีผลต่อทารกในช่วงที่สร้างอวัยวะและส่วนต่างๆของร่างกาย
โดยเฉพาะในช่วงอาทิตย์แรกๆของการตั้งครรภ์
การเลือกอาหารที่มีประโยชน์เลยเป็นหัวข้อแรกๆที่ผมอยากรู้
เพราะจะช่วยให้ง่ายในการเลือกกินมากขึ้น

และจากอ่านข้อมูลมา พื้นฐานหลักในการเลือกอาหารจะมีแค่ข้อเดียว คือ

กินอาหารให้หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหาร

หมายเหตุ: การกินเผื่อลูกนี่ไม่ได้หมายความว่าให้กินสองเท่าจากปกติ
แต่ให้เลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์เป็นสำคัญ

 

ในช่วงเวลาการตั้งครรภ์ แม้คุณแม่จะกินอาหารส่วนใหญ่ได้
แต่ก็จะมีอาหารบางประเภทที่ควรหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเสี่ยง/ผลข้างเคียง เช่น

DSCF0315

– อาหารทะเล
แม้ว่าอาหารทะเลจะมีโปรตีน ธาตเหล็ก ไขมัน omega-3 ที่ช่วยในการพัฒนาสมองของทารกอยู่สูง
แต่อาหารทะเล โดยเฉพาะสัตว์น้ำมีเปลือกเช่น หอย,กุ้ง, ปลาบางชนิด ก็มีสารปรอทสูง
ซึ่งอาจมีผลร้ายต่อการพัฒนาระบบประสาทของทารก
ปริมาณอาหารทะเลที่ปลอดภัยสำหรับหญิงมีครรภ์คือประมาณ 12 ounce (ประมาณ 0.34 กิโลกรัม) ต่ออาทิตย์

DSCF2859

– อาหารดิบ
กรุณาหลีกเลี่ยง อาหารดิบ, ปลาดิบ, อาหารรมควัน, เนื้อ steak ที่ยังไม่สุกดี
และในการทำอาหารควรใช้ความร้อนมากพอที่จะทำให้อาหารสุก (โดยเฉพาะอาหารทะเล)
โปรดระวังเพราะอาการอาหารเป็นพิษในหญิงตั้งครรภ์มักจะหนักกว่าคนปกติ และอาจทำให้เด็กป่วยไปด้วย
สำหรับการบริโภคไข่ จะต้องใช้ความร้อนให้ไข่แดงและไข่ขาวแข็งเป็นก้อนก่อนบริโภค
เนื่องจากไข่ที่ยังดิบอยู่จะมีโอกาสปนเปื้อนของแบคทีเรีย salmonella ได้อยู่
(เคสนี้ อาจให้ระวังในโจ๊กบ้านเราที่คนส่วนใหญ่ชอบกินไข่ลวกแบบที่ยังไม่สุกเต็มที่)

DSCF8992

– ผักผลไม้ที่ยังไม่ได้ล้าง
ล้างเหอะกันเหนียว โดยเฉพาะผักผลไม้บ้านเราที่มีสารเคมีเยอะที่สุดในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้

– ตับ
จริงๆแล้วตับนี่ดีต่อหญิงมีครรภ์เพราะมีวิตามิน A สูง แต่ถ้ากินมากไปจะทำให้เกิดพิษต่อทารก
DSCF3573

สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัต (ไม่กินเนื้อกินแต่ผัก) มักจะมีสารอาหาร เช่น zinc, B-12, ธาตุเหล็ก,
Calcium และ Folic acid อยู่บ้างแล้ว แต่สำหรับโปรตีน, ธาตุเหล็กและแคลเซียม สำหรับทารก
อาจไม่เพียงพอ วิธีแก้คือบริโภคเนื้อปลา, ไข่ และนม เพิ่มเติมก็จะช่วยให้ได้สารอาหารครบถ้วนมากขึ้น

DSCF4676

สารอาหารอื่นๆที่จำเป็น (นอกจากโฟลิกที่เขียนไปแล้ว)

1. Calcium
ช่วยให้กระดูกและฟันของทั้งทารกและคุณแข็งแรง
ระบบไหลเวียนโลหิต,กล้ามเนื้อและประสาท ทำงานเป็นปกติ
สามารถหาได้จากการบริโภค ผัก Broccoli, คะน้า, ถั่วเหลือง, นม
(โปรดระวังถ้ามีไม่พอทารกจะดึงเอาแคลเซี่ยมจากกระดูกของคุณแม่)

DSCF6350

แต่การที่ร่างกายจะนำ Calcium ไปใช้ได้ด้วยอาศัยวิตามิน D
ซึ่งแหล่งวิตามิน D ที่ดีก็คือแสงอาทิตย์
คำแนะนำคือออกไปเดินรับแดดยามเช้าซักวันละ 15 นาทีก็โอแล้วครับ
ถึงจะไม่ใช่ผักแต่ร่างกายเราก็สังเคราะห์แสงได้วิตามิน D มาใช้ได้ครับ
(แต่ก็ไม่ใช่ไปยืนตากแดดตอนเที่ยงๆของบ้านเรานะครับ จะละลายเอาง่ายๆ)

DSCF7848

2. Iron
ธาตุเหล็ก เป็นส่วนสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด และในหญิงมีครรภ์จะต้องการ
ธาตุเหล็กเพิ่มเป็นสองเท่าของปกติ เพื่อใช้สร้างเลือดเพิ่มขึ้นสำหรับทารก
และถ้าเลือดที่สร้างได้มีน้อย จะส่งผลให้การออกซิเจนไปล่อเลี้ยงร่างกายไม่เพียงพอ
อาการที่สังเกตได้ง่ายคือ เมื่อยล้า อ่อนเพลียได้ง่ายกว่าปกติ
แหล่งอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง คือ เนื้อสัตว์, สัตว์ปีก, ปลา
และกลุ่มที่มีรองลงมาคือ ธัญพืช, ถั่วและผลไม้แห้ง

DSCF3872

DSCF5033

สุดท้ายนี้ขอสรุปให้จำกันง่ายๆนะครับ

กินอาหารให้หลากหลายที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารอาหาร

วิธีทำให้สเปิร์มแข็งแรง

05 Saturday Apr 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

fit, sperm

DSCF3740

– กินอาหารหลากหลายที่มีวิตามิน selenium, zinc, folic acid (เรื่อง folic เขียนไว้แล้วทีนึง กลับไปดูได้)

– กินผักและผลไม้ให้มาก เพราะผักผลไม้อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและเพิ่มคุณภาพของสเปิร์ม

– อย่าเครียด เพราะความเครียดจะทำให้ฮอร์โมนที่จำเป็นในการสร้างสเปิร์มลดลง (นอกจากนี้อาจจะยังทำให้ไม่สนุกตอนทำด้วย :P)

– ออกกกำลังกายสม่ำเสมอ ! (สำคัญมาก แต่คนส่วนใหญ่จะทำไม่ได้)

– รักษาระดับน้ำหนักให้เหมาะสม (ไม่อ้วนไป ไม่ผอมไป), น้ำหนักร่างกายที่พอเหมาะจะส่งต่อฮอร์โมนและเพิ่มสเปิร์มคุณภาพสูง

สิ่งที่เตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์

23 Sunday Mar 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

ตรวจ, ท้อง, วัคซีน

DSCF2899

1. ตรวจหมู่เลือด

อันนี้เป็นการตรวจกรุ๊ปเลือดทั่วไป ไม่ค่อยมีปัญหาอะไร ที่่น่าสนใจจะเป็นการตรวจหมู่เลือด Rh (คนไทยส่วนใหญ่เป็น Rh+) ซึ่งถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็น Rh- จะมีโอกาสแท้งเพิ่มขึ้นมาก

1.2 ตรวจภาวะโลหิตจาง(ธาลัสซีเมีย)

โรคธาลัสซีเมีย เป็นโรคเลือดจางที่มาจากความผิดปกติของพันธุกรรม ทำให้เม็ดเลือดแดงมีอายุสั้นกว่าปกติ พบมากในไทย และมีพาหะของโรคนี้ประมาณ 30-40% (ประมาณ 25-30 ล้านคน)

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย
-> http://www.si.mahidol.ac.th/sidoctor/e-pl/articledetail.asp?id=206

1.3 ตรวจโรคซิฟิลิส, HIV

ตรวจหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถถ่ายทอดจากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ได้

1.4 ตรวจหาไวรัสตับอักเสบชนิดบี, ภูมิไวรัสตับอักเสบชนิดบี

ไวรัสที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมะเร็งตับ , ตับอักเสบเรื้อรัง หรือตับแข็งได้
ในประเทศไทยมีผู้ป่วยเป็นพาหะของโรคอยู่ประมาณ 8-10% (ร้อยคนเจอแปดถึงสอบคน)
การติดเชื้อมีได้หลายทาง ตั้งแต่เลือด น้ำลาย น้ำตา อสุจิ น้ำเมือกในช่องคลอด น้ำดี น้ำนม (เหมือนเอสด์)

(*) ไวรัสตับอักเสบบี ไม่ติดต่อกันผ่านทางการสัมผัสทางผิวหนัง กอด จูบ การมองหน้า ไอจามรดกัน รวมทั้งการทานอาหารและน้ำ (แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน การใช้ช้อนกลางและแยกแก้วน้ำก็ช่วยลดความเสี่ยงได้)

การฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี จะทำให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานต่อสู้โรคนี้ไปตลอดชีวิต แต่ถ้าเป็นพาหะแล้ววัคซีนไม่ช่วยอะไร และไม่ควรฉีดในหญิงมีครรภ์ (ดังนั้นควรตรวจสุขภาพก่อนแต่เนิ่นๆ)
ปกติจะต้องฉีดสามเข็ม เว้นระยะห่างกัน โดยรวมทั้งหมดใช้เวลาประมาณครึ่งปี

1.5 ตรวจหาภูมิต้านทานเชื้อหัดเยอรมัน

โรคหัดเยอรมัน เกิดจากเชื้อไวรัส Rubella เชื้ออาศัยอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย สามารถติดต่อกันได้โดยการไอ จาม หรือสัมผัสน้ำมูกน้ำลายที่มีเชื้อหัดเยอรมันอยู่ (เชื้อนี้มีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ถึง 1 ปี เมื่อติดเชื้อแล้วจะยังไม่เกิดอาการทันที ใช้เวลาประมาณ 14 – 21 วันจึงเริ่มเกิดอาการ)

สตรีมีครรภ์ที่ติดเชื้อโรคหัดเยอรมันในช่วงอายุครรภ์ 3 – 4 เดือนแรก จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อทารกในครรภ์ ทำให้เด็กที่เกิดมาพิการ เช่น สมองฝ่อ หูหนวก ต้อกระจกตา โรคหัวใจ คนที่เคยเป็นโรคหัดเยอรมันแล้วจะมีภูมิคุ้มกันโรคนี้ไปตลอดชีวิต

โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน ซึ่งอยู่ในวัคซีนรวม 3 โรค วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR) คือสามารถป้องกันโรคคางทูม โรคหัด และโรคหัดเยอรมัน ได้ภายในเข็มเดียวกัน วัคซีนที่ใช้สร้างจากการนำเชื้อไวรัสที่ยังมีชีวิตอยู่แต่ทำให้อ่อนฤทธิ์ลง เมื่อฉีดแล้วจะทำให้ร่างกายคนสามารถสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นช้าๆ และขึ้นสูงสุดในสัปดาห์ที่ 6 ถึง 8 หลังฉีดวัคซีน

สำหรับหญิงวัยเจริญพันธุ์แนะนำให้ฉีดวัคซีนนี้ล่วงหน้าก่อนที่จะตั้งครรภ์อย่างน้อย 1 เดือน
สำหรับหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ห้ามฉีดวัคซีนชนิดนี้เด็ดขาด

← Older posts

Subscribe

  • Entries (RSS)
  • Comments (RSS)

Archives

  • August 2017
  • November 2015
  • August 2015
  • June 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • January 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • July 2014
  • June 2014
  • May 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • May 2012
  • February 2011
  • January 2011
  • August 2010
  • June 2010
  • May 2010
  • April 2010
  • February 2010
  • January 2010
  • December 2009
  • November 2009
  • October 2009
  • September 2009
  • August 2009
  • April 2009
  • March 2009
  • November 2008
  • October 2008

Categories

  • Developer
  • Events
  • Games
  • IDeas
  • Love
  • Photos

Meta

  • Register
  • Log in

Blog at WordPress.com.

Privacy & Cookies: This site uses cookies. By continuing to use this website, you agree to their use.
To find out more, including how to control cookies, see here: Cookie Policy
  • Follow Following
    • WindyGallery's Weblog
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • WindyGallery's Weblog
    • Customize
    • Follow Following
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...