• About Me
  • My Slides

WindyGallery's Weblog

~ I am a normal man in quite imperfect little World.

WindyGallery's Weblog

Tag Archives: baby

Agile Thailand 2015 (ภาค 1)

10 Sunday May 2015

Posted by windygallery in Developer, Events, IDeas

≈ Leave a comment

Tags

2015, agile, baby, coaching, listening

สรุปประเด็นน่าสนใจจากงาน Agile Thailand 2015 (ภาคแรกครับ)

1. Agile Dialogue

by Kulawat (Pom) Wongsaroj + Bee

https://www.flickr.com/photos/dkuropatwa/4612194068/

https://www.flickr.com/photos/dkuropatwa/4612194068/

Session นี้เป็นเรื่องของการฝึก skill “การฟัง” (ที่น่าสนใจมาก)
เวลาทำงานร่วมกันกับคนหมู่มาก ปัญหา conflict ถือเป็นเรื่องปกติ
แต่การประชุมกันเพื่อแก้ปัญหามักมีสถานการณ์หลายๆอย่างที่ทำให้
การแก้ปัญหาไม่จบลงอย่างที่ควรจะเป็น บางคนอาจเคยเจอสถานการณ์ที่
เหมือนจะตะโกนใส่กันมากกว่าการพูดคุย หรือมีเกรียนตัวใหญ่ที่คอยแย่งพูด

การฝึกตัวเองในคลาสนี้ เพื่อช่วยให้รู้ตัวเองตลอดการประชุม รู้จักคุมจังหวะ
ไม่รีบผลีพลามยิงสวนขณะที่คนอื่นกำลังพูด วิธีการที่ง่ายและตรงไปตรงมาคือ
การกำหนด Rules ขึ้นมาร่วมกัน 3 ข้อ ที่จะช่วยกำกับ “สติ” ของทุกคน

ข้อแรก: พูดทีละคน 
เพื่อให้มีโอกาสได้ฟัง และ(จง)ตั้งใจฟัง

ข้อที่สอง: ไม่วิจารณ์ 
แต่ให้พูดในแนวทางที่สร้างสรรค์เพื่อเสริมไอเดีย ไม่ใช่มุ่งแต่จะทำลายความคิด/ไอเดียของผู้อื่น

ข้อที่สาม: ไม่ตัดสินความคิดคนอื่น
การฝึกคิดที่มุ่งตัดสินความคิดคนอื่นจะทำให้เรารีบคิดหาช่องว่างหรือแนวทางอื่นมาหักล้าง จนทำให้สติในการตั้งใจฟังสาระ “หลุด” จากผู้พูด (นี่คือหนึ่งสาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนคุยกันคนละหัวข้อ เพราะไม่ตั้งใจฟังคนอื่นพูดให้จบก่อน แต่รีบแทรกพูด) กับคนที่มี ego สูงจะต้องหาทางลด ego เขาก่อน (อาจโดยลดตัวเองก่อนด้วย)

นอกจากเรื่องการฟังแล้ว ใน Session ยังขยายไอเดียออกไปครอบคลุมถึงเรื่องอื่นๆ
ของ Agile ด้วยอีกเล็กน้อย ขอสรุปเป็นประเด็นสำคัญตามความคิดเห็นของผมเองเป็นข้อๆ ดังนี้ครับ

  • Lean คือ วิธีการทำงานแบบที่มุ่งเน้นการลด watse ในกระบวนการ
  • Agile เป็นหลักการทำงานที่ช่วยให้เข้าใจธรรมชาติของ software development process ง่ายขึ้น (ซึ่งจะมีหายแนวทางย่อยและ practices ย่อย)
  • การที่ทีม commit งานไว้มากเกินไป = การทำงานแบบ overload ตลอดเวลา
  • เมื่อทำงานหนักมาก ไม่มีจุดพัก กำลังใจคนทำงานจะหมดเร็ว
  • เมื่อไม่มีเวลาพัก = ขาดโอกาสในการพัฒนาตัวเองหรือเสริมศักยภาพใหม่ๆ
  • ทำให้ทีมท้อและพังได้ง่าย
  • การทำงานให้ได้ผลงานมากที่สุด ตอบโจทย์ใคร นายจ้าง? ทีม?
  • เมื่อ burn ชีวิตมากไป แล้วจะรักษา balance ของครอบครัว/การทำงานได้หรือ?
  • ถ้าคนทำงานไม่ Happy อะไรคือ goal ระยะยาวร่วมกัน
  • ปัญหาต้นๆของการคุยกับลูกค้าคือ ใช้ estimation = commit (ซึ่งมันคนละเรื่องกัน!)
  • ถ้าคุยกันภายในทีมรู้เรื่องดี จะทำให้ประมาณ velocity ของทีมได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
  • คนทำงานด้วยกันจะประมาณเวลาได้ใกล้เคียงมากขึ้น
  • และในกรณีที่ estimate ผิด ต้องรีบ feedback ให้ลูกค้าเร็ว เพื่อให้ลูกค้าปรับแผน/ตัดสินใจ

Action items (สำหรับตัวเอง): ฝึกสติจับประเด็นตอนประชุมแก้ปัญหา conflict ให้ได้ตลอดเวลา

 

2. การ coach ก็เหมือนการเลี้ยงลูกนั่นแหละ

by Juacompe + Chawin

11164636_10206386492001766_2141718463379060806_o

Session นี้ว่าด้วยการสังเกตถึงการดูแลเด็กตัวน้อยๆคนนึง (ในช่วงที่กำลังพัฒนาพฤติกรรมขวบปีแรก) และนำมาเปรียบเทียบกับการโค้ชให้ผู้อื่น

ในช่วง 3 ปีแรกของอายุ จะเป็นช่วงที่เด็กกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆรอบตัว และสมองกำลังเริ่มเตรียมความพร้อมในการสร้างเซลล์ประสาทในแต่ละด้าน เช่น การควบคุมอารมณ์, ทักษะการเข้าสังคม, ภาษา (เป็นสาเหตุให้การฝึกภาษาใหม่หลังสามขวบทำได้ไม่ดีเท่าฝึกช่วงต้นอายุ)

(*) ข้อมูลอ้างอิง http://www.unicef.org/dprk/ecd.pdf

พัฒนาการในช่วงนี้จะเกิดขึ้นตลอดเวลา และนี่เป็นธรรมชาติของเด็ก

หันมามองกลับกัน เรามักจะได้ยินคำว่า “คนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง”
ซึ่งพอมาย้อนคิดดูอีกที มันอาจจะไม่จริงซะทีเดียวนัก เพราะที่จริงแล้ว คนเรามีความสามารถในการปรับตัว (adapt) เข้ากับสิ่งแวดล้อมสูงมากจนเราไม่ถือว่ามันคือการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถกินอาหารเช้าไม่ซ้ำกันแต่เราก็ไม่ได้มองว่ามันคือการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นคำว่าเปลี่ยนแปลงจึงขึ้นกับขนาดของพฤติกรรมและความสำคัญที่ส่งผลต่อจิตใจผู้กระทำมากกว่าแค่ action เฉยๆ

ปัญหาของการโค้ชเพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมคนทำงานจากแบบเดิมๆ(ที่มักประสิทธิภาพไม่สูง) ให้มาลองของใหม่ ถ้าอาศัยแค่การพูดหักว่าของเดิมไม่ดีเพื่อบังคับให้ลองเปลี่ยน จะทำให้เกิดแรงต่อต้านเล็กๆภายในใจ มากกว่าการให้ลองทำ แต่วิธีการเหล่านี้ใช้ไม่ได้กับเด็กเล็กที่ยังไม่สามารถสื่อสารกลับโดยตรงได้โดยใช้ภาษาเป็นตัวกลาง

แล้วกับเด็กทำอย่างไรล่ะ?

11134127_10206386493441802_7130770212382136030_o

เรามักคิดว่าเด็กเล็กๆไม่เข้าใจการพูด แต่เราอาจมองข้ามไปว่าเด็กสามารถเข้าใจ body language (และฝึกฝนทักษะเพื่อเข้าใจได้เร็วมาก) การพูดคุย สัมผัส ปลอบ การชื่นชมเมื่อเขาทำถูกต้อง หรือให้กำลังใจเมื่อเขาทำผิดพลาด (ฝึกให้ positive ไม่ว่าจะ action จะ success หรือ failed) จะทำให้เขาค่อยๆมีความมั่นใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง และทำให้เขากล้าลองทำในสิ่งใหม่ๆมากขึ้น โดยไม่มีแรงต่อต้านเท่าการบังคับให้ทำ

และก็คล้ายกันกับการโค้ชทีม

ที่ body language มีผลช่วยให้ทีมเชื่อมั่นในตัวเอง แม้จะลองแล้วผิดพลาด แล้วกล้าที่จะลองไปทำอะไรใหม่ๆเพื่อพัฒนาศักยภาพของตัวเองต่อ

หัวข้อย่อย1: ความแข็งแกร่งภายนอก vs. ความแข็งแกร่งจากภายใน

บางครั้งการแก้ปัญหา conflict ภายในองค์กร มักทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น พูดคุยหาข้อตกลง ยอมทำตามคำสั่ง ไม่ยอมแต่ไม่ทำ เลิก ลาออก ฯลฯ สิ่งแต่ละวิธีมักจะถูกเลือกขึ้นมาจากระดับความสัมพันธ์ของคนที่ทำงานด้วยกัน (เช่น ถ้าสนิทกันก็อาจจะไปพูดคุยตกลงกันตอนกินข้าวได้ แต่ถ้าเกลียดกันอาจจะต้องหาใครมาไกล่เกลี่ยแทน)

evilboss

ในกรณีที่มีทางเลือกให้ใช้แก้ conflict โดยอาศัยผู้อื่น/สิ่งอื่นเข้ามาช่วย (เคสนี้จะเรียกกันว่า ความแข็งแกร่งจากภายนอก) เช่น ใช้ตำแหน่ง, อำนาจหน้าที่ทุบโต๊ะ, ให้ผู้ใหญ่กว่าบังคับ, กำลัง(หมายถึงกับเด็ก) สิ่งเหล่านี้มักทำให้แก้ปัญหาได้ง่ายกว่าการสื่อสารโดยใช้คำอธิบายความคิดและความรู้สึกเพื่อโน้มน้าวให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นคล้อยตาม (อันนี้เรียกว่าความแข็งแกร่งจากภายใน)

แต่การทำงานโดยอาศัยพลังภายนอกบ่อยๆ จะกลายเป็นการปล่อยให้ตัวเองไม่ได้ฝึกฝนความแข็งแกร่งจากภายใน และกัดกร่อนตัวเองไปเรื่อยๆ พอถึงวันนี้ที่เกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น อำนาจหาย ตำแหน่งไม่มี ขาดผู้ใหญ่แบ็คอัพ คนที่ความแข็งแกร่งภายในน้อยก็จะเริ่มทำงานลำบาก

ดังนั้น ต้องฝึกให้ตัวเองสามารถแก้ปัญหา conflict ได้ด้วยตัวเองให้ได้
วิธีที่จั๊วะใช้คือ อธิบายเหตุผลและความรู้สึกประกอบกันในการสื่อสาร ไม่ใช้วิธีให้คนอื่นช่วย
และคอยเสริมให้ทุกคน(รวมทั้งเด็ก)มีความเชื่อมั่นในตัวเองว่ามีคนคอยช่วยเหลือดูแลอยู่เสมอ เพื่อที่เมื่อเขาโตขึ้นเขาจะมีความแข็งแกร่งภายในมากเพียงพอ ที่จะทำอะไรและแก้ปัญหาได้ด้วยตัวเอง

 

หัวข้อย่อย2: Emotional bank account

16177956936_f9aa24857a_z

https://www.flickr.com/photos/ms308/16177956936/in/album-72157625647271859/

ในการแก้ปัญหา บางครั้งเราก็อาจจะ focus ผิดจุด
เช่นเราอาจจะทุบโต๊ะเพื่อเอาผลงานให้รวดเร็วจนมองข้ามความรู้สึกของผู้ร่วมงานไป

ซึ่งทำลาย Balance ระหว่าง เป้าหมายร่วมกัน กับ ความสัมพันธ์ระยะยาว

ถ้ามองว่าอารมณ์ตอบสนองของคนเหมือนบัญชีธนาคาร (Emotional bank) การทำดี ชื่นชม ให้กำลังใจ สนับสนุน ก็เหมือนการฝากเพิ่ม ส่วนการด่า ประชด ไม่เห็นคุณค่าต่อกัน ทำร้ายความรู้สึก เป็นการถอน

เมื่อวันนึงที่ emotional ใน bank ติดลบ คนก็เกิด bias
พูดอะไรเท่าไหร่เขาก็จะไม่ฟัง พูดธรรมดาก็กลายเป็นประชด พูดด่าลอยๆก็นึกว่าด่าตัวเอง แล้วบรรยากาศการทำงานร่วมกันทุกอย่างก็จะแย่ลง

ทำผิดพลาดก็ควรจะขอโทษ ทำดีต่อกันก็ให้ขอบคุณ เพื่อรักษาอารมณ์ของผู้ร่วมงานบ้าง
จะแก้อคติกับใคร ขอให้เริ่มที่ตัวเราเองก่อน

เพื่อความยั่งยืนของความสัมพันธ์ระยะยาวที่จะนำไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

Action items: ฝึกตัวเองให้ควบคุมอารมณ์ให้มั่นคง, long relationship is important than short goal

🙂

สิ่งที่ต้องเจอหลังคลอด (ภาค 3) – Baby sleeping training

14 Tuesday Apr 2015

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

baby, sleep, training

รีบมาต่อหลังจากดองไปนาน
(เพื่อนๆบางคนก็เริ่มคลอดน้องออกมาแล้ว เขียน blog ช้าไปอาจจะไม่ทันการ)

เรื่องที่จะพูดถึงในตอนนี้ก็คือปัญหาสุดคลาสิกของหนูน้อยหลังออกมาจากท้องมะม๊า ก็คือเรื่อง การตื่นนอนรัวๆยามดึก!

https://www.flickr.com/photos/48509939@N07/5927758528

https://www.flickr.com/photos/48509939@N07/5927758528

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เสียงร่ำลือจากเพื่อนๆเล่าให้ฟังกันก่อนคลอดเยอะมาก ว่าทั้งคุณพ่อคุณแม่ต้องนอนตุนไว้เยอะๆนะ เพราะเดี๋ยวหลังจากคลอดน้องออกมา จะไม่ค่อยได้นอนกัน ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ ลูกชายตัวน้อยของเราตื่นมาร้องไห้งอแงและขอดูดนมคุณแม่ยามค่ำคืนตลอด ทำเอาคุณแม่เริ่มอ่อนแรงและเริ่มเข้าโหมดซอมบี้ย่อมๆเข้าไปทุกวันๆ ช่วงเวลาในการนอนและตื่นของเด็กน้อยสั้นเพียงประมาณไม่เกิน 1 ชั่วโมงและกินตลอดเวลา เป็นแบบนี้ตลอดทั้งเดือน แต่น้ำหนักกลับไม่ขึ้นอย่างที่ควรจะเป็น

หลังจากญาติๆแวะมาเยี่ยมดูแล้วก็เลยแนะนำให้พาน้องไปตรวจที่โรงพยาบาลเพื่อหาสาเหตุ แล้วก็ได้คำตอบมาว่า วิธีการดูดนมของน้องยังไม่ถูกต้อง ทำให้ได้น้ำนมน้อย พอกินได้น้อย ก็เลยหลับได้ไม่นานก็ตื่นเพราะหิวอีก กลายเป็นลูปวนเวียนไม่รู้จบ (แถมเริ่มชินกับวิธีดูดแบบผิดๆล่ะ แก้ยากได้อีก)

วิธีแก้ปัญหาขั้นต้นของพวกเราก็เลยต้องพยายามปรับท่าให้นมกันใหม่หมด (ด้วยความดูแลของคุณหมอและพยาบาลหลายท่าน) และต้องเสริมนมชงเข้าช่วยเพื่อให้น้ำหนักขึ้นมาตามเกณฑ์ให้ได้ก่อน

หลังจากผ่านไปเกือบสองเดือน น้ำหนักเริ่มเข้าที่ ตัวน้องก็กินนมคุณแม่และต่อด้วยนมชงจนอิ่ม และนอนหลับยาวขึ้นเป็นสามชั่วโมงต่อรอบ วนเวียนเป็นลูปตลอดทั้งวันและคืน พวกเราก็เริ่มเบาลงจากเดิมบ้าง แต่ก็ยังไม่ง่ายสำหรับคุณแม่ที่เวลาลาคลอดกำลังจะหมด และต้องกลับไปทำงานเหมือนเดิม ในเมื่อกลางวันต้องทำงาน และกลางคืนจะต้องคอยดูแลลูกตอนกลางคืนอีก จะเอาเวลาที่ไหนพักผ่อน?

ในขณะที่เวลากำลังจะหมดลงนั้นเอง
ก็มีโทรศัพท์ของน้องสนิทโทรเข้ามา

@juacompe: “สวัสดีครับพี่วิน”

@windygallery: “สวัสดีครับจั๊วะ”

@juacompe: “เจตานอนหลับยาวทั้งคืนรึยังครับ?”

@windygallery: “ยังอ่ะ ทำไมเหรอ?”

@juacompe: “ผมรู้สึกว่ามันเป็นคำถามที่ประหลาดมากสำหรับพ่อแม่มือใหม่ ว่าแต่พี่มีเวลาพอคุยกันเรื่องนี้ใหม่ครับ?”

แน่นอนว่าผมมี

และเต็มใจอย่างยิ่งที่น้องรักจะนำเอาข้อมูลอันมีคุณค่าขนาดที่สามารถเปลี่ยนช่วงชีวิตที่ยากลำบากของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ให้กลายเป็นวันที่น่าจดจำได้ในเวลาชั่วโมงกว่าๆ

ประเด็นหลักของการพูดคุยในค่ำคืนนั้น คือความเข้าใจเรื่องการนอนหลับของเด็กทารกที่ “เข้าใจกันไปเอง” ว่าการที่เด็กทารกนอนและตื่นมากินนมแม่ตอนกลางคืนนั้นเป็น “เรื่องปกติ”

ซึ่งตอนนี้เรามีข้อพิสูจน์แล้วว่ามัน “ไม่จริง“

ต้นเหตุของการศึกษาเรื่องนี้เกิดจาก หญิงนักข่าวชาวอเมริกันคนหนึ่ง ได้แต่งงานและย้ายไปอาศัยอยู่ ณ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส และพบว่าพฤติกรรมของเด็กเล็กในฝรั่งเคสหลายๆอย่างนั้นแตกต่างจากที่ลูกเธอเป็นและเด็กที่อื่นที่เธอเคยรู้จัก เช่น การกินอาหารอย่างเป็นระเบียบ ควบคุมตัวเองได้ ไม่เหมือนเด็กอเมริกันที่โวยวายทำข้าวของเละเทะระหว่างการกิน ทั้งๆที่อยู่ในวัยเดียวกัน และรวมไปจนถึงการที่เด็กทารกของครอบครัวฝรั่งเศส สามารถนอนยาวตั้งแต่หัวค่ำไปยันเช้าเหมือนผู้ใหญ่ได้ตั้งแต่อายุไม่กี่อาทิตย์

ข้อมูลรายละเอียดเชิงลึกหาอ่านต่อได้จากหนังสือสองเล่มนี้ครับ

10957475_10205808326827998_858649734_n

เพื่อให้กระชับ ขอเล่าเอาทฤษฎีแบบตัดน้ำออกให้เข้าใจง่ายขึ้นอีกหน่อย คือ

การนอนหลับยาวๆของผู้ใหญ่จะเกิดจากการนอนหลับลึกและหลับตื้นสลับกันไปเรื่อยๆทั้งคืน

เด็กเกิดใหม่ยังไม่รู้วิธีเชื่อมต่อระหว่างการหลับลึกกับหลับตื้น

บางครั้งที่เขาร้องไห้โวยวายกลางดึกนั้น บางทีเขายังไม่ได้ตื่น เขาแค่ละเมอ (ขยับตัว ร้องไห้)

ถ้าปล่อยให้เขาได้ฝึกอยู่กับตัวเองซักประมาณ 5 นาที บ่อยๆเข้า เขาจะเริ่มเชื่อมต่อหลับตื้นไปหลับลึกได้เอง

และจะนอนหลับยาวเหมือนผู้ใหญ่ได้

นี่คือเรื่องพื้นฐานการฝึกเด็กให้นอนหลับยาวที่อยู่ในวัฒนธรรมของชาวฝรั่งเศส

 

แต่คนไทยอย่างเราไม่เคยรู้!!!
พอลูกร้องปั๊บก็เลยจับลูกขึ้นมาโอ๋ และให้กินนมเลย
ผลก็คือลูกตื่น และไม่ได้ฝึกเชื่อมต่อระหว่างหลับลึกกับหลับตื้นเลย
แถมกินบ่อยๆเข้า ร่างกายก็เริ่มจำเวลาได้ น้ำย่อยก็เริ่มมา
คราวนี้เลยกลายเป็นความเคยชินที่เปลี่ยนยากไปเลย

จากที่หาข้อมูลมา โดยปกติถ้าไม่หัด ไม่ฝึกอะไรเลย เด็กจะสามารถเริ่มนอนยาวได้ด้วยตัวเองในอายุประมาณ 6 เดือน (แบบเป็นได้ตามธรรมชาติ)

แต่ในฝรั่งเศสที่เรื่องการฝึกเด็กนอนอยู่ในวัฒนธรรม เด็กของพวกเขานอนยาวทั้งคืนได้ตั้งแต่ตอนอายุ 2 อาทิตย์ (และส่วนใหญ่คือไม่เกิน 4 เดือนก็นอนหลับยาวทั้งคืนแล้ว)

 

 

เนื่องจากแนวคิดนี้ถือว่าปฎิวัติความเข้าใจของการเลี้ยงลูกในบ้านผมพอสมควร ก็เลยต้องมีการเจรจากับญาติผู้ใหญ่ในบ้านก่อนเพื่อจะได้ไปในแนวทางเดียวกัน

วิธีการฝึกให้ลูกหลับยาวตามทฤษฎี มีอยู่สองแนวทาง

อันแรก คือวิธี “หักดิบ”
แยกพื้นที่สำหรับนอนของเด็กแบบชัดเจนไปเลยเพื่อให้เขารู้ว่านี่คือเวลานอน กำจัดแสงและสิ่งรบกวนและปล่อยให้เขาอยู่ตัวคนเดียวทั้งคืน (ในที่ๆเรามั่นใจว่าปลอดภัยที่สุดแล้ว) ถ้าจะอุ้มขึ้นมาปลอบตอนร้องไห้ ให้ทำได้ครั้งเดียว และพูดคุยบอกเขาก่อนจะทำ ว่าเรากำลังจะทำอะไร และให้เขาทำตัวอย่างไร (คนฝรั่งเศสถือว่าเด็กเข้าใจคำพูดของผู้ใหญ่เพียงแต่ยังแสดงออกไม่ได้เท่านั้น)

โดยปกติวิธีนี้มักจะใช้เวลาไม่กี่วัน แต่จะต้องแลกมากับช่วงเวลาลำบากใจตอนที่ลูกร้องคืนแรกๆ

วิธีที่สอง คือ “ค่อยๆปรับ”
วิธีนี้เน้นที่การสังเกตพฤติกรรมหลังจากที่ลูกร้องโวยวายยามดึก โดยแทนที่จะรีบอุ้มลูกขึ้นมาให้นม ให้คอยดูลูกอยู่ข้างๆประมาณ 5 นาทีแทน เพื่อที่ให้โอกาสเด็กน้อยได้ลองฝึกนอนต่อเนื่องจากหลับติ้นไปเป็นหลับลึกต่อด้วยตัวเอง แต่ถ้าเกินจากนั้นแล้วยังร้องก็ให้ปลอบ ถ้าเขาหิวก็ค่อยให้เขากิน (แต่ต้องฝึกสังเกตและแยกให้ออกว่าเขาต้องการอะไร แล้วค่อยตอบสนอง)

วิธีนี้จะใช้ระยะเวลาเป็นระดับสัปดาห์ขึ้นไป

 

 

แล้วก็ถึงเวลาลงมือปฏิบัติ

ตอนแรกนั้น ครอบครัวเราลองใช้วิธีหักดิบก่อน โดยลองปรับที่นอนใหม่ให้เป็นบริเวณชัดเจน โดยเอาเตียงเด็กมาวางไว้ข้างที่นอนของพวกเรา ปิดแสงไฟและเสียงรบกวน แล้วลองปล่อยให้น้องนอน (ก่อนปล่อยบอกให้น้องฟังว่าเรากำลังจะทำอะไร) แล้วก็เริ่มนอน สักพักน้องก็ร้อง เลยอุ้มขึ้นมาปลอบทีนึงเพื่อให้รู้ว่ายังอยู่ใกล้ๆกัน แล้วก็วางให้นอนต่อ ปรากฏว่าสักพักก็เริ่มไม่ยอม ร้องไห้งอแง

พยายามทำใจแข็งกันอยู่สองคน (เกือบทะเลาะกับผู้ใหญ่ในบ้านก็ตอนนี้) หลังจากผ่านไปประมาณสองชั่วโมง ก็เลยต้องยอม จับขึ้นมาอุ้มปลอบให้แล้วดูดนมแม่ต่อเพื่อกล่อมจนหลับไป (สรุปว่า fail เพราะใจไม่แข็งพอ)

ผลข้างเคียงที่ออกมาชัดเจนก็คือ คืนต่อๆมาลูกไม่ยอมนอนเลย พอจับวางที่นอนเดิมปั๊บร้องงอแงทันที (กลายเป็นกลัวการนอนกลางคืนไปเลย)

IMG_3612

สถานการณ์ตอนนั้น เครียดพอสมควร..

เพราะพอลูกไม่ยอมนอน ก็ส่งผลเป็นโดมิโน่กับพ่อแม่ และญาติๆรอบข้างเป็นลูกโซ่
ดังนั้นก็เลยต้องปรับตัวมาใช้วิธีที่สองเพื่อให้แก้ปัญหาแทน

เอาเตียงเด็กออกไปจากห้อง แล้วย้ายมานอนกับคุณแม่เหมือนเดิม จัดสภาวะแวดล้อมใหม่ โอ๋และพยายามกล่อมให้ต่างจากบรรยากาศวันที่ทำให้ลูกกลัวกลางคืนฝังใจ ค่อยๆปลอบและยอมให้ลูกดูดนมจนหลับ ปรับทุกๆอย่างๆ หลังจากผ่านไปเกือบอาทิตย์ ลูกก็เริ่มยอมกลับมานอนกลางคืน (พ่อแม่แทบเป็นซอมบี้กันเลยทีเดียว)

ในระหว่างช่วงเวลาที่โหดร้ายนี้ พวกเราก็เริ่มแยกแยะเสียงร้องของเขาได้แล้ว ว่าร้องแบบไหนคือหิว (ลูกผมร้อง อะแฮ้ = หิว ชัดมาก) แบบไหนปวดท้องมีลม (สังเกตจากเสียงร้องและมือเกร็ง) ส่วนง่วงดูง่ายเพราะอ้าปากหาวตาปิด และฉี่/อึ นี่อาศัยดูจากแพมเพิร์สเอา

https://www.flickr.com/photos/adesigna/3905842249

https://www.flickr.com/photos/adesigna/3905842249

พอเริ่มแยกแยะอาการได้ เราก็เริ่มใช้วิธีสังเกตก่อนประมาณ 5 นาที ไม่รีบอุ้มเวลาที่เขาร้องตอนกลางคืน คอยตบก้นเบาๆให้เขาหลับต่อและปล่อยให้เขาค่อยๆฝึกนอนหลับต่อเนื่องได้ด้วยตัวเอง ทีละน้อยๆ

หลังจากผ่านไปอีกประมาณสองอาทิตย์ ลูกของพวกเราก็เริ่มนอนยาวทั้งคืน ตื่นอีกทีตอนเช้าเลย
\(^^)/\(^^)/

IMG_2923

แล้วชีวิตก็ดีขึ้น

คุณแม่ตื่นยามดึกเพื่อปั้มนมต่อไป (เพียงแต่ไม่ต้องมาคอยดูแลลูกด้วย เบาแรงได้อีกหน่อย)
เด็กน้อยนอนหลับยาว ก็มีส่วนให้มีพัฒนาการที่ดี อารมณ์ดี และเลี้ยงง่ายขึ้น

 

การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ได้ยากเสียจนเกินความสามารถของคุณพ่อคุณแม่มือใหม่

การเลี้ยงลูกไม่ใช่ไสยศาสตร์ การร้องของเขามักมีสาเหตุ การสังเกตเยอะๆช่วยได้มาก

พยายามทำความเข้าใจกับพฤติกรรมของเขาจากสิ่งที่เขาแสดงออก (ยิ่งเด็กเล็กยิ่งตรงไปตรงมามาก)

สิ่งแวดล้อมมีผลกับการเลี้ยงมาก เช่น เวลานอนของพ่อแม่ แสง เสียง (และอย่าลืมทำให้ลูกเรอก่อนนอน)

ถ้าคิดว่ามีปัญหาเกิดขึ้น แนะนำให้ลองดูสิ่งรอบๆตัวก่อน แล้วค่อยๆปรับครับ

IMG_4248
หวังว่าจะมีประโยชน์ในการเลี้ยงน้องๆของทุกครอบครัว ให้เติบโตอย่างมีสุขภาพแข็งแรง อารมณ์แจ่มใสกันทุกคน ขอเอาใจช่วยคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ทุกท่านครับ

สวัสดีปีใหม่ครับ ^^

21 คำถามเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งครรภ์

18 Monday Aug 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

baby, pragnancy

สรุปข้อมูลความรู้ในการดูแลคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคำถามที่คนมักถามหมอบ่อยๆเอาไว้กันลืมครับ 🙂

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

 

1. อะไรคือ ดาวซินโดรม?
โรคผิดปกติทางพันธุกรรมแบบหนึ่งที่ส่งผลให้สติปัญญาต่ำกว่าปกติ สาเหตุส่วนนึงมาจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเซลล์ไข่ ยิ่งคุณแม่มีอายุมากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงขึ้น ตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ทั้งอัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดและน้ำคร่ำ (ทั้งนี้บางครั้งมีโอกาสได้ผลตรวจผิดพลาดอยู่บ้าง)

2. การแพ้ท้องเกิดจากอะไร และมียาแก้ไหม?
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลให้ จมูกดีขึ้น ได้รับรู้กลิ่นอะไรง่ายและอาจเหม็นจนทำให้คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรืออื่นๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มียาแก้ ผู้ชายต้องเข้าใจและทำใจ การหลีกเลี่ยงกลิ่นที่เป็นสาเหตุของเหม็นจะช่วยลดอาการแพ้ได้ การกินอาหารผิดปกติโดยความเชื่อว่าจะช่วยลดอาการแพ้ไม่ใช่สิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อแม่และเด็ก คุณพ่อควรคอยเบรคในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะที่ควรจะเป็น

บางกรณีผู้ชายอาจแพ้ท้องร่วมด้วย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลถึงคุณพ่อที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ได้

3. ป่วยกินยาอะไรได้บ้าง ขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่ยาทุกชนิดที่ปลอดภัยสำหรับทารกขณะต้ังครรภ์ กรุณาปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ
อย่าเชื่อคำพูดที่เล่าต่อกันมาโดยไม่มีการรับรอง (รวมถึงยาสมุนไพรด้วย)

4. บุหรี่และเหล้า มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
บุหรี่มีสารเคมีหลายตัวที่เป็นพิษต่อเด็กในครรภ์ ทั้งควันที่เกิดจากการเผาไหม้ยังทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงทารกได้น้อยลง ในขณะที่แอลกอฮอล์ในเหล้าทำลายระบบสมองและประสาทของเด็กได้ เพิ่มโอกาสในการแท้งบุตร ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหลังคลอด สมาธิสั้น และเพิ่มโอกาสพิการ (ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ดื่มเหล้าตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนคลอดและยังให้นมบุตรอยู่)

5. อาหารแบบไหนที่ทำให้ลูกโต ?
ร่างกายของทารกสร้างจากโปรตีนเป็นหลัก ตามคำแนะนำของแพทย์หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคไข่ไม่เกินวันละ 1 ฟอง (คนปกติไม่เกิน 3 ฟอง/อาทิตย์) และกินอาหารให้หลากหลายรวมทั้งผักและผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินขนมหวานที่มีไขมันและน้ำตาลมาก จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มแต่ไม่ช่วยให้ลูกโต และจะคงค้างหลังคลอดได้ง่าย

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

6. น้ำมะพร้าว และ ทุเรียน ควรกินหรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์ ?
มีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวจะช่วยให้เด็กออกมาขาวและไม่มีไข ซึ่งไม่เป็นความจริง ความขาวของลูกมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ และไขมันที่ติดออกมาจากตัวลูกตอนคลอดก็เป็นธรรมชาติที่สร้างไว้ปกป้องการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายเด็ก จริงๆแล้วน้ำมะพร้าวมีเกลือแร่และวิตามินที่มีประโยชน์แต่มีน้ำตาลที่สูงมาก การกินบ่อยครั้ง จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่เป็นเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ (ทุเรียนก็น้ำตาลสูงเช่นกัน)

7. การทาครีมทาท้องกันแตกลายช่วยได้ไหม ?
ต้นเหตุหลักของท้องแตกลาย คือการที่ท้องขยายมากเกินไปและถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ยืดตลอดเวลา ครีมไม่ได้ทำให้ท้องไม่แตก แต่แค่บำรุงให้มีความชุ่มชื้นที่ผิว การป้องกันท้องแตกที่มีประสิทธิภาพกว่าคือควบคุมไม่ให้ท้องขยายเนื่องจากอ้วนเกินไป นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกางเกงแบบที่เสริมผ้าสำหรับช่วยประคองครรภ์ ท่ีทำให้ผิวหนังหน้าท้องไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไปด้วย

8. ยารักษาสิว เครื่องสำอาง และน้ำยาทาสีผม มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
ยารักษาสิว และเครื่องสำอางหลายตัวมีผลเสียต่อทารก ส่วนน้ำยาทำสีผมก็สามารถซึมผ่านรากผมเข้าสู่กระแสเลือดได้เช่นกัน คำแนะนำของหมอคือ ให้คุณแม่หยุดห่วงเรื่องความสวยความงามในช่วงตั้งครรภ์ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดผลเสียกับทารกในครรภ์

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

9. ภูมิแพ้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นภูมิแพ้จะมีโอกาสทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นภูมิแพ้สูงกว่าพ่อแม่ที่ไม่เป็น หลักฐานทางการแพทย์พบว่าการที่คุณแม่ดื่มนมวัวขณะตั้งครรภ์ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยกินปกติ จะเพิ่มโอกาสกระตุ้นให้ลูกแพ้นมวัวมากขึ้น คำแนะนำคือให้บริโภคนม(รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีส่วนประกอบของนม เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศครีม เนย ชีท ฯลฯ)ในปริมาณปกติ (หรือลดลง) แล้วไปเสริมแคลเซี่ยมและสารอาหารจากทางอื่นแทน

นมถั่วเหลืองและถั่วก็เป็นหนึ่งในสารที่พบว่ากระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน

 

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

10. ฟังเพลงโมสาทแล้วลูกจะฉลาดจริงเหรอ?
เป็นความผิดพลาดของสื่อมวลชนที่สื่อสารออกไปให้คนเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องนึง การวิจัยเรื่องเพลงโมสาทมีผลต่อความเรียนรู้ของเด็กนั้นถูกทดสอบที่เด็กในระดับชั้นเล็กๆไม่ใช่ในท้อง และผลการทดสอบคือ การฟังเพลงโมสาทน้อยกว่า 10 นาทีต่อวัน ช่วยกระตุ้นด้านการศึกษามิติสัมพันธ์ในเด็กได้ดีขึ้น ไม่ใช่ฉลาดขึ้นทุกเรื่องอย่างที่ข่าวสื่อออกไป ในทางกลับกันพบว่าการฟังเพลงคลาสิกอาจทำให้คุณแม่ที่ไม่คุ้นเคยเกิดความเครียดได้แทน

11. เสียงดนตรีแบบไหนดีต่อเด็กในครรภ์ ?
มีการศึกษาพบว่าเสียงดนตรีสามประเภทคือ กลอง เครื่องสาย(เช่นกีตาร์) และเปียใน ส่งผลกระตุ้นสมองต่างส่วนกัน และเสียงเครื่องดนตรีประเภทเปียโนดีต่อการพัฒนาสมองด้านความคิดและอารมณ์มากที่สุด ในขณะที่เสียงเพลงประเภทกลองไม่ค่อยเหมาะกับการให้ทารกในครรภ์ฟัง เนื่องจากเสียงจะไปตีกับเสียงหัวใจที่ดังภายในตัวแม่

12. ความเครียดของแม่ มีผลอย่างไรกับตัวลูก ?
ความเครียดของแม่สามารถส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ และยับยั้งพัฒนาการของสมองเด็ก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกันภายในครอบครัว ฟังเพลงคลาสิกที่ไม่ชอบมากไป อารมณ์เสีย ทำงานหนักไป ล้วนทำให้เด็กลดพัฒนาการลง วิธีแก้คือ ไม่เครียด ปล่อยวาง และทำให้คุณแม่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา (อันนี้เป็นหน้าที่คุณพ่อและคนในครอบครัวช่วยกันดูแล)

13. เก้าอี้โยกมีผลยังไงกับทารกในครรภ์ ?
มีผลการทดสอบพบว่าช่วยกระตุ้นให้เด็กรับรู้และมีพัฒนาการด้านการทรงตัวได้ดี และยังมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่นั่งเก้าอี้โยกบ่อยจะลดความเสี่ยงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

14. การพูดคุยกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลยังไงบ้าง ?
ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงของพ่อแม่ (มีการทดสอบในไทย พบว่าลูกจำเสียงพูดและเสียงหัวใจของแม่ได้ตั้งแต่คลอดออกมา – หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงแม่พูด หรือนอนแนบอกแม่ได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้น) และเมื่อเปรียบเทียบกับเสียงของพ่อที่ทุ้มกว่า ลูกจะจำได้ดีกว่า

15. คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม?
ปกติที่อนุญาติคือช่วงไตรมาส 2 (เดือน 4 – 6) จะมีความเสี่ยงต่ำสุด
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสายการบินด้วย

16. ลูกสะอึก ภายในครรภ์ เกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่?
ส่วนของปอดเริ่มทำงานและเด็กเริ่มกลืนเป็น ไม่อันตรายอะไร

17. การดูแลรักษาฟันในช่วงตั้งครรภ์
คุณแม่ควรไปพบทันตแพทย์ในช่วงไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) เพื่อดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรง เพราะการมีฟันผุจะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

18. ฤกษ์เกิด มีผลต่อความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ถ้าฤกษ์ดึกมาก หมอและพยาบาลง่วงนอน ความเสี่ยงคือความปลอดภัยของแม่และเด็ก
ถ้าฤกษ์ระบุเจาะจงเวลามาก เช่นต้องนาทีนี้เป๊ะๆ หมอและพยาบาลต้องทำเผื่อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ตามฤกษ์ (เพื่อความยุ่งยากและความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุคาดไม่ถึง)

การทำคลอดแบบวิทยาศาสตร์ที่บีบบังคับด้วยความเชื่อ ทำให้ความลำบากตกอยู่ที่ทีมหมอและพยาบาล แต่ความเสี่ยงอยู่ที่คุณแม่และเด็ก

19. น้ำนมแม่จะพอไหม ?
ช่วงแรกที่คลอดต้องรีบกระตุ้นโดยให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ซึ่งช่วงแรกจะมีน้อยแต่ก็พอต่อความต้องการและขนาดกระเพาะของเด็ก แล้วร่างกายจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงต่อความต้องการของลูกเอง แต่ถ้าให้ลูกกินนมผง แล้วร่างกายของแม่ไม่โดนกระตุ้นต่อเนื่อง จะทำให้น้ำนมลดลง จนกระทั่งน้ำนมผลิตได้ไม่พอความต้องการ (ดังนั้นถ้าจะให้กินนมแม่ ต้องอดทนช่วงแรก)

การนวดกระตุ้นน้ำนมไม่ควรทำในขณะที่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้

20. นมแม่ดีต่อลูกยังไง?
นมแม่มีสารอาหารและภูมิคุ้มกันโรคมากกว่านมผงหลายสิบเท่า ไม่เสียเงินซื้อ อุณหภูมิเหมาะกับการกินตลอดเวลา ไม่ต้องใส่ภาชนะเก็บล้าง พกพาสะดวก และสร้างความอบอุ่นและเพิ่มสายใยของแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

21. จะเข้าใจเสียงร้องของทารกได้ยังไง?
มีคนวิจัยเรื่องความแตกต่างของเสียงร้องเด็กทารกไว้บ้างแล้วครับ เช่น
“เอะ” = มีลมในท้อง
“อึนเนะ” = หิว
“อาว” = ง่วง
“เฮะ” = เปียก
เป็นต้น

ในปัจจุบัน มีกลุ่ม facebook ของคุณแม่ที่ท้องช่วงเวลาใกล้ๆกัน คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์เยอะมาก ทั้งคอยอัพเดตข่าวสาร แหล่งซื้อสินค้าของเด็ก อาการและการดูแลตัวเองของคุณแม่ๆ กิจกรรม/workshop ส่งเสริมให้ความรู้ของการเตรียมตัวเป็นคุณแม่อยู่มากมายหลายที่ (ที่มักจะจัดฟรีโดยสปอนเซอร์ของสินค้าเด็กทั้งหลาย) ซึ่งในแง่ดีก็คือมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการดูแลตัวเอง แต่บางครั้งข้อมูลที่บางคนส่งต่อมาก็อาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ดังนั้นขอให้มีวิจารณญาณในการบริโภคข่าวสารอยู่เสมอ

นอกจากนี้บางโรงพยาบาลก็มีเปิดห้องคลอดให้ว่าที่คุณแม่ได้เข้าชมและสอบถามข้อมูล (ต้องติดต่อล่วงหน้า) และมีกิจกรรมอบรมต่างๆที่ช่วยเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน เช่น

โครงการเสริมสร้างคุณภาพทารกในครรภ์ ของคุณหมอ มานิตย์ แสนมณีชัย (โรงพยาบาลหัวเฉียว)
การเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ ของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
เพจนมแม่แฮปปี้ https://www.facebook.com/HappyBreastfeeding
โครงการคุณพ่อคุณภาพ ของโรงพยาบาลศิริราช
และอื่นๆอีกมากมาย

สุดท้ายนี้ก็ขอให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนใช้เวลากับการเตรียมตัวรับลูกน้อยอย่างมีความสุขทุกคนครับ (^^)

@windygallery

Image

When to make a baby and then ?

26 Saturday Apr 2014

Tags

baby, pregnancy

PregnancyMap

Posted by windygallery | Filed under Love

≈ Leave a comment

Subscribe

  • Entries (RSS)
  • Comments (RSS)

Archives

  • August 2017
  • November 2015
  • August 2015
  • June 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • January 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • July 2014
  • June 2014
  • May 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • May 2012
  • February 2011
  • January 2011
  • August 2010
  • June 2010
  • May 2010
  • April 2010
  • February 2010
  • January 2010
  • December 2009
  • November 2009
  • October 2009
  • September 2009
  • August 2009
  • April 2009
  • March 2009
  • November 2008
  • October 2008

Categories

  • Developer
  • Events
  • Games
  • IDeas
  • Love
  • Photos

Meta

  • Register
  • Log in

Create a free website or blog at WordPress.com.

Cancel

 
Loading Comments...
Comment
    ×
    Privacy & Cookies: This site uses cookies. By continuing to use this website, you agree to their use.
    To find out more, including how to control cookies, see here: Cookie Policy