สรุปข้อมูลความรู้ในการดูแลคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคำถามที่คนมักถามหมอบ่อยๆเอาไว้กันลืมครับ 🙂
1. อะไรคือ ดาวซินโดรม?
โรคผิดปกติทางพันธุกรรมแบบหนึ่งที่ส่งผลให้สติปัญญาต่ำกว่าปกติ สาเหตุส่วนนึงมาจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเซลล์ไข่ ยิ่งคุณแม่มีอายุมากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงขึ้น ตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ทั้งอัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดและน้ำคร่ำ (ทั้งนี้บางครั้งมีโอกาสได้ผลตรวจผิดพลาดอยู่บ้าง)
2. การแพ้ท้องเกิดจากอะไร และมียาแก้ไหม?
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลให้ จมูกดีขึ้น ได้รับรู้กลิ่นอะไรง่ายและอาจเหม็นจนทำให้คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรืออื่นๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มียาแก้ ผู้ชายต้องเข้าใจและทำใจ การหลีกเลี่ยงกลิ่นที่เป็นสาเหตุของเหม็นจะช่วยลดอาการแพ้ได้ การกินอาหารผิดปกติโดยความเชื่อว่าจะช่วยลดอาการแพ้ไม่ใช่สิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อแม่และเด็ก คุณพ่อควรคอยเบรคในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะที่ควรจะเป็น
บางกรณีผู้ชายอาจแพ้ท้องร่วมด้วย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลถึงคุณพ่อที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ได้
3. ป่วยกินยาอะไรได้บ้าง ขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่ยาทุกชนิดที่ปลอดภัยสำหรับทารกขณะต้ังครรภ์ กรุณาปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ
อย่าเชื่อคำพูดที่เล่าต่อกันมาโดยไม่มีการรับรอง (รวมถึงยาสมุนไพรด้วย)
4. บุหรี่และเหล้า มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
บุหรี่มีสารเคมีหลายตัวที่เป็นพิษต่อเด็กในครรภ์ ทั้งควันที่เกิดจากการเผาไหม้ยังทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงทารกได้น้อยลง ในขณะที่แอลกอฮอล์ในเหล้าทำลายระบบสมองและประสาทของเด็กได้ เพิ่มโอกาสในการแท้งบุตร ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหลังคลอด สมาธิสั้น และเพิ่มโอกาสพิการ (ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ดื่มเหล้าตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนคลอดและยังให้นมบุตรอยู่)
5. อาหารแบบไหนที่ทำให้ลูกโต ?
ร่างกายของทารกสร้างจากโปรตีนเป็นหลัก ตามคำแนะนำของแพทย์หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคไข่ไม่เกินวันละ 1 ฟอง (คนปกติไม่เกิน 3 ฟอง/อาทิตย์) และกินอาหารให้หลากหลายรวมทั้งผักและผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินขนมหวานที่มีไขมันและน้ำตาลมาก จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มแต่ไม่ช่วยให้ลูกโต และจะคงค้างหลังคลอดได้ง่าย
6. น้ำมะพร้าว และ ทุเรียน ควรกินหรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์ ?
มีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวจะช่วยให้เด็กออกมาขาวและไม่มีไข ซึ่งไม่เป็นความจริง ความขาวของลูกมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ และไขมันที่ติดออกมาจากตัวลูกตอนคลอดก็เป็นธรรมชาติที่สร้างไว้ปกป้องการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายเด็ก จริงๆแล้วน้ำมะพร้าวมีเกลือแร่และวิตามินที่มีประโยชน์แต่มีน้ำตาลที่สูงมาก การกินบ่อยครั้ง จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่เป็นเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ (ทุเรียนก็น้ำตาลสูงเช่นกัน)
7. การทาครีมทาท้องกันแตกลายช่วยได้ไหม ?
ต้นเหตุหลักของท้องแตกลาย คือการที่ท้องขยายมากเกินไปและถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ยืดตลอดเวลา ครีมไม่ได้ทำให้ท้องไม่แตก แต่แค่บำรุงให้มีความชุ่มชื้นที่ผิว การป้องกันท้องแตกที่มีประสิทธิภาพกว่าคือควบคุมไม่ให้ท้องขยายเนื่องจากอ้วนเกินไป นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกางเกงแบบที่เสริมผ้าสำหรับช่วยประคองครรภ์ ท่ีทำให้ผิวหนังหน้าท้องไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไปด้วย
8. ยารักษาสิว เครื่องสำอาง และน้ำยาทาสีผม มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
ยารักษาสิว และเครื่องสำอางหลายตัวมีผลเสียต่อทารก ส่วนน้ำยาทำสีผมก็สามารถซึมผ่านรากผมเข้าสู่กระแสเลือดได้เช่นกัน คำแนะนำของหมอคือ ให้คุณแม่หยุดห่วงเรื่องความสวยความงามในช่วงตั้งครรภ์ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดผลเสียกับทารกในครรภ์
9. ภูมิแพ้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นภูมิแพ้จะมีโอกาสทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นภูมิแพ้สูงกว่าพ่อแม่ที่ไม่เป็น หลักฐานทางการแพทย์พบว่าการที่คุณแม่ดื่มนมวัวขณะตั้งครรภ์ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยกินปกติ จะเพิ่มโอกาสกระตุ้นให้ลูกแพ้นมวัวมากขึ้น คำแนะนำคือให้บริโภคนม(รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีส่วนประกอบของนม เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศครีม เนย ชีท ฯลฯ)ในปริมาณปกติ (หรือลดลง) แล้วไปเสริมแคลเซี่ยมและสารอาหารจากทางอื่นแทน
นมถั่วเหลืองและถั่วก็เป็นหนึ่งในสารที่พบว่ากระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน
10. ฟังเพลงโมสาทแล้วลูกจะฉลาดจริงเหรอ?
เป็นความผิดพลาดของสื่อมวลชนที่สื่อสารออกไปให้คนเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องนึง การวิจัยเรื่องเพลงโมสาทมีผลต่อความเรียนรู้ของเด็กนั้นถูกทดสอบที่เด็กในระดับชั้นเล็กๆไม่ใช่ในท้อง และผลการทดสอบคือ การฟังเพลงโมสาทน้อยกว่า 10 นาทีต่อวัน ช่วยกระตุ้นด้านการศึกษามิติสัมพันธ์ในเด็กได้ดีขึ้น ไม่ใช่ฉลาดขึ้นทุกเรื่องอย่างที่ข่าวสื่อออกไป ในทางกลับกันพบว่าการฟังเพลงคลาสิกอาจทำให้คุณแม่ที่ไม่คุ้นเคยเกิดความเครียดได้แทน
11. เสียงดนตรีแบบไหนดีต่อเด็กในครรภ์ ?
มีการศึกษาพบว่าเสียงดนตรีสามประเภทคือ กลอง เครื่องสาย(เช่นกีตาร์) และเปียใน ส่งผลกระตุ้นสมองต่างส่วนกัน และเสียงเครื่องดนตรีประเภทเปียโนดีต่อการพัฒนาสมองด้านความคิดและอารมณ์มากที่สุด ในขณะที่เสียงเพลงประเภทกลองไม่ค่อยเหมาะกับการให้ทารกในครรภ์ฟัง เนื่องจากเสียงจะไปตีกับเสียงหัวใจที่ดังภายในตัวแม่
12. ความเครียดของแม่ มีผลอย่างไรกับตัวลูก ?
ความเครียดของแม่สามารถส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ และยับยั้งพัฒนาการของสมองเด็ก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกันภายในครอบครัว ฟังเพลงคลาสิกที่ไม่ชอบมากไป อารมณ์เสีย ทำงานหนักไป ล้วนทำให้เด็กลดพัฒนาการลง วิธีแก้คือ ไม่เครียด ปล่อยวาง และทำให้คุณแม่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา (อันนี้เป็นหน้าที่คุณพ่อและคนในครอบครัวช่วยกันดูแล)
13. เก้าอี้โยกมีผลยังไงกับทารกในครรภ์ ?
มีผลการทดสอบพบว่าช่วยกระตุ้นให้เด็กรับรู้และมีพัฒนาการด้านการทรงตัวได้ดี และยังมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่นั่งเก้าอี้โยกบ่อยจะลดความเสี่ยงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน
14. การพูดคุยกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลยังไงบ้าง ?
ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงของพ่อแม่ (มีการทดสอบในไทย พบว่าลูกจำเสียงพูดและเสียงหัวใจของแม่ได้ตั้งแต่คลอดออกมา – หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงแม่พูด หรือนอนแนบอกแม่ได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้น) และเมื่อเปรียบเทียบกับเสียงของพ่อที่ทุ้มกว่า ลูกจะจำได้ดีกว่า
15. คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม?
ปกติที่อนุญาติคือช่วงไตรมาส 2 (เดือน 4 – 6) จะมีความเสี่ยงต่ำสุด
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสายการบินด้วย
16. ลูกสะอึก ภายในครรภ์ เกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่?
ส่วนของปอดเริ่มทำงานและเด็กเริ่มกลืนเป็น ไม่อันตรายอะไร
17. การดูแลรักษาฟันในช่วงตั้งครรภ์
คุณแม่ควรไปพบทันตแพทย์ในช่วงไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) เพื่อดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรง เพราะการมีฟันผุจะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้
18. ฤกษ์เกิด มีผลต่อความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ถ้าฤกษ์ดึกมาก หมอและพยาบาลง่วงนอน ความเสี่ยงคือความปลอดภัยของแม่และเด็ก
ถ้าฤกษ์ระบุเจาะจงเวลามาก เช่นต้องนาทีนี้เป๊ะๆ หมอและพยาบาลต้องทำเผื่อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ตามฤกษ์ (เพื่อความยุ่งยากและความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุคาดไม่ถึง)
การทำคลอดแบบวิทยาศาสตร์ที่บีบบังคับด้วยความเชื่อ ทำให้ความลำบากตกอยู่ที่ทีมหมอและพยาบาล แต่ความเสี่ยงอยู่ที่คุณแม่และเด็ก
19. น้ำนมแม่จะพอไหม ?
ช่วงแรกที่คลอดต้องรีบกระตุ้นโดยให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ซึ่งช่วงแรกจะมีน้อยแต่ก็พอต่อความต้องการและขนาดกระเพาะของเด็ก แล้วร่างกายจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงต่อความต้องการของลูกเอง แต่ถ้าให้ลูกกินนมผง แล้วร่างกายของแม่ไม่โดนกระตุ้นต่อเนื่อง จะทำให้น้ำนมลดลง จนกระทั่งน้ำนมผลิตได้ไม่พอความต้องการ (ดังนั้นถ้าจะให้กินนมแม่ ต้องอดทนช่วงแรก)
การนวดกระตุ้นน้ำนมไม่ควรทำในขณะที่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้
20. นมแม่ดีต่อลูกยังไง?
นมแม่มีสารอาหารและภูมิคุ้มกันโรคมากกว่านมผงหลายสิบเท่า ไม่เสียเงินซื้อ อุณหภูมิเหมาะกับการกินตลอดเวลา ไม่ต้องใส่ภาชนะเก็บล้าง พกพาสะดวก และสร้างความอบอุ่นและเพิ่มสายใยของแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
21. จะเข้าใจเสียงร้องของทารกได้ยังไง?
มีคนวิจัยเรื่องความแตกต่างของเสียงร้องเด็กทารกไว้บ้างแล้วครับ เช่น
“เอะ” = มีลมในท้อง
“อึนเนะ” = หิว
“อาว” = ง่วง
“เฮะ” = เปียก
เป็นต้น
ในปัจจุบัน มีกลุ่ม facebook ของคุณแม่ที่ท้องช่วงเวลาใกล้ๆกัน คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์เยอะมาก ทั้งคอยอัพเดตข่าวสาร แหล่งซื้อสินค้าของเด็ก อาการและการดูแลตัวเองของคุณแม่ๆ กิจกรรม/workshop ส่งเสริมให้ความรู้ของการเตรียมตัวเป็นคุณแม่อยู่มากมายหลายที่ (ที่มักจะจัดฟรีโดยสปอนเซอร์ของสินค้าเด็กทั้งหลาย) ซึ่งในแง่ดีก็คือมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการดูแลตัวเอง แต่บางครั้งข้อมูลที่บางคนส่งต่อมาก็อาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ดังนั้นขอให้มีวิจารณญาณในการบริโภคข่าวสารอยู่เสมอ
นอกจากนี้บางโรงพยาบาลก็มีเปิดห้องคลอดให้ว่าที่คุณแม่ได้เข้าชมและสอบถามข้อมูล (ต้องติดต่อล่วงหน้า) และมีกิจกรรมอบรมต่างๆที่ช่วยเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน เช่น
โครงการเสริมสร้างคุณภาพทารกในครรภ์ ของคุณหมอ มานิตย์ แสนมณีชัย (โรงพยาบาลหัวเฉียว)
การเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ ของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
เพจนมแม่แฮปปี้ https://www.facebook.com/HappyBreastfeeding
โครงการคุณพ่อคุณภาพ ของโรงพยาบาลศิริราช
และอื่นๆอีกมากมาย
สุดท้ายนี้ก็ขอให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนใช้เวลากับการเตรียมตัวรับลูกน้อยอย่างมีความสุขทุกคนครับ (^^)