• About Me
  • My Slides

WindyGallery's Weblog

~ I am a normal man in quite imperfect little World.

WindyGallery's Weblog

Monthly Archives: August 2014

21 คำถามเกี่ยวกับผู้หญิงตั้งครรภ์

18 Monday Aug 2014

Posted by windygallery in Love

≈ Leave a comment

Tags

baby, pragnancy

สรุปข้อมูลความรู้ในการดูแลคุณแม่ที่กำลังตั้งครรภ์ และคำถามที่คนมักถามหมอบ่อยๆเอาไว้กันลืมครับ 🙂

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

https://www.flickr.com/photos/bies/107729240

 

1. อะไรคือ ดาวซินโดรม?
โรคผิดปกติทางพันธุกรรมแบบหนึ่งที่ส่งผลให้สติปัญญาต่ำกว่าปกติ สาเหตุส่วนนึงมาจากการเสื่อมตามธรรมชาติของเซลล์ไข่ ยิ่งคุณแม่มีอายุมากขึ้น จะทำให้ความเสี่ยงในการเกิดโรคสูงขึ้น ตรวจพบได้ตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ทั้งอัลตร้าซาวน์ เจาะเลือดและน้ำคร่ำ (ทั้งนี้บางครั้งมีโอกาสได้ผลตรวจผิดพลาดอยู่บ้าง)

2. การแพ้ท้องเกิดจากอะไร และมียาแก้ไหม?
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อเตรียมรับการตั้งครรภ์ ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลให้ จมูกดีขึ้น ได้รับรู้กลิ่นอะไรง่ายและอาจเหม็นจนทำให้คลื่นไส้อาเจียน อารมณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว หรืออื่นๆ เนื่องจากเป็นเรื่องธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่มียาแก้ ผู้ชายต้องเข้าใจและทำใจ การหลีกเลี่ยงกลิ่นที่เป็นสาเหตุของเหม็นจะช่วยลดอาการแพ้ได้ การกินอาหารผิดปกติโดยความเชื่อว่าจะช่วยลดอาการแพ้ไม่ใช่สิ่งที่ดีและปลอดภัยต่อแม่และเด็ก คุณพ่อควรคอยเบรคในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามสุขลักษณะที่ควรจะเป็น

บางกรณีผู้ชายอาจแพ้ท้องร่วมด้วย เนื่องจากระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนไปอาจส่งผลถึงคุณพ่อที่อยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่ได้

3. ป่วยกินยาอะไรได้บ้าง ขณะตั้งครรภ์
ไม่ใช่ยาทุกชนิดที่ปลอดภัยสำหรับทารกขณะต้ังครรภ์ กรุณาปรึกษาคุณหมอก่อนเสมอ
อย่าเชื่อคำพูดที่เล่าต่อกันมาโดยไม่มีการรับรอง (รวมถึงยาสมุนไพรด้วย)

4. บุหรี่และเหล้า มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
บุหรี่มีสารเคมีหลายตัวที่เป็นพิษต่อเด็กในครรภ์ ทั้งควันที่เกิดจากการเผาไหม้ยังทำให้ออกซิเจนไปเลี้ยงทารกได้น้อยลง ในขณะที่แอลกอฮอล์ในเหล้าทำลายระบบสมองและประสาทของเด็กได้ เพิ่มโอกาสในการแท้งบุตร ส่งผลต่อพัฒนาการของลูกหลังคลอด สมาธิสั้น และเพิ่มโอกาสพิการ (ทั้งนี้ไม่แนะนำให้ดื่มเหล้าตั้งแต่ตั้งครรภ์ไปจนคลอดและยังให้นมบุตรอยู่)

5. อาหารแบบไหนที่ทำให้ลูกโต ?
ร่างกายของทารกสร้างจากโปรตีนเป็นหลัก ตามคำแนะนำของแพทย์หญิงตั้งครรภ์ควรบริโภคไข่ไม่เกินวันละ 1 ฟอง (คนปกติไม่เกิน 3 ฟอง/อาทิตย์) และกินอาหารให้หลากหลายรวมทั้งผักและผลไม้เพื่อให้ได้วิตามินและเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย การกินขนมหวานที่มีไขมันและน้ำตาลมาก จะทำให้น้ำหนักตัวของคุณแม่เพิ่มแต่ไม่ช่วยให้ลูกโต และจะคงค้างหลังคลอดได้ง่าย

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

https://www.flickr.com/photos/alexmasters/500707342

6. น้ำมะพร้าว และ ทุเรียน ควรกินหรือไม่ในช่วงตั้งครรภ์ ?
มีความเชื่อว่าน้ำมะพร้าวจะช่วยให้เด็กออกมาขาวและไม่มีไข ซึ่งไม่เป็นความจริง ความขาวของลูกมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่ และไขมันที่ติดออกมาจากตัวลูกตอนคลอดก็เป็นธรรมชาติที่สร้างไว้ปกป้องการสูญเสียความร้อนออกจากร่างกายเด็ก จริงๆแล้วน้ำมะพร้าวมีเกลือแร่และวิตามินที่มีประโยชน์แต่มีน้ำตาลที่สูงมาก การกินบ่อยครั้ง จะเพิ่มความเสี่ยงให้คุณแม่เป็นเบาหวานในช่วงตั้งครรภ์ (ทุเรียนก็น้ำตาลสูงเช่นกัน)

7. การทาครีมทาท้องกันแตกลายช่วยได้ไหม ?
ต้นเหตุหลักของท้องแตกลาย คือการที่ท้องขยายมากเกินไปและถูกแรงโน้มถ่วงดึงให้ยืดตลอดเวลา ครีมไม่ได้ทำให้ท้องไม่แตก แต่แค่บำรุงให้มีความชุ่มชื้นที่ผิว การป้องกันท้องแตกที่มีประสิทธิภาพกว่าคือควบคุมไม่ให้ท้องขยายเนื่องจากอ้วนเกินไป นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีกางเกงแบบที่เสริมผ้าสำหรับช่วยประคองครรภ์ ท่ีทำให้ผิวหนังหน้าท้องไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไปด้วย

8. ยารักษาสิว เครื่องสำอาง และน้ำยาทาสีผม มีผลต่อทารกหรือไม่ ?
ยารักษาสิว และเครื่องสำอางหลายตัวมีผลเสียต่อทารก ส่วนน้ำยาทำสีผมก็สามารถซึมผ่านรากผมเข้าสู่กระแสเลือดได้เช่นกัน คำแนะนำของหมอคือ ให้คุณแม่หยุดห่วงเรื่องความสวยความงามในช่วงตั้งครรภ์ไปก่อน เพื่อลดความเสี่ยงจากสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดผลเสียกับทารกในครรภ์

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

https://www.flickr.com/photos/petrolly/13889482008

9. ภูมิแพ้
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่เป็นภูมิแพ้จะมีโอกาสทำให้ลูกที่เกิดมาเป็นภูมิแพ้สูงกว่าพ่อแม่ที่ไม่เป็น หลักฐานทางการแพทย์พบว่าการที่คุณแม่ดื่มนมวัวขณะตั้งครรภ์ในปริมาณที่มากกว่าที่เคยกินปกติ จะเพิ่มโอกาสกระตุ้นให้ลูกแพ้นมวัวมากขึ้น คำแนะนำคือให้บริโภคนม(รวมทั้งผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีส่วนประกอบของนม เช่น ขนมปัง เค้ก ไอศครีม เนย ชีท ฯลฯ)ในปริมาณปกติ (หรือลดลง) แล้วไปเสริมแคลเซี่ยมและสารอาหารจากทางอื่นแทน

นมถั่วเหลืองและถั่วก็เป็นหนึ่งในสารที่พบว่ากระตุ้นให้เกิดการแพ้ได้เช่นกัน

 

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

https://www.flickr.com/photos/ces2011/8988439768

10. ฟังเพลงโมสาทแล้วลูกจะฉลาดจริงเหรอ?
เป็นความผิดพลาดของสื่อมวลชนที่สื่อสารออกไปให้คนเข้าใจผิดมากที่สุดเรื่องนึง การวิจัยเรื่องเพลงโมสาทมีผลต่อความเรียนรู้ของเด็กนั้นถูกทดสอบที่เด็กในระดับชั้นเล็กๆไม่ใช่ในท้อง และผลการทดสอบคือ การฟังเพลงโมสาทน้อยกว่า 10 นาทีต่อวัน ช่วยกระตุ้นด้านการศึกษามิติสัมพันธ์ในเด็กได้ดีขึ้น ไม่ใช่ฉลาดขึ้นทุกเรื่องอย่างที่ข่าวสื่อออกไป ในทางกลับกันพบว่าการฟังเพลงคลาสิกอาจทำให้คุณแม่ที่ไม่คุ้นเคยเกิดความเครียดได้แทน

11. เสียงดนตรีแบบไหนดีต่อเด็กในครรภ์ ?
มีการศึกษาพบว่าเสียงดนตรีสามประเภทคือ กลอง เครื่องสาย(เช่นกีตาร์) และเปียใน ส่งผลกระตุ้นสมองต่างส่วนกัน และเสียงเครื่องดนตรีประเภทเปียโนดีต่อการพัฒนาสมองด้านความคิดและอารมณ์มากที่สุด ในขณะที่เสียงเพลงประเภทกลองไม่ค่อยเหมาะกับการให้ทารกในครรภ์ฟัง เนื่องจากเสียงจะไปตีกับเสียงหัวใจที่ดังภายในตัวแม่

12. ความเครียดของแม่ มีผลอย่างไรกับตัวลูก ?
ความเครียดของแม่สามารถส่งผลโดยตรงต่อทารกในครรภ์ และยับยั้งพัฒนาการของสมองเด็ก ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการทะเลาะกันภายในครอบครัว ฟังเพลงคลาสิกที่ไม่ชอบมากไป อารมณ์เสีย ทำงานหนักไป ล้วนทำให้เด็กลดพัฒนาการลง วิธีแก้คือ ไม่เครียด ปล่อยวาง และทำให้คุณแม่อารมณ์ดีอยู่ตลอดเวลา (อันนี้เป็นหน้าที่คุณพ่อและคนในครอบครัวช่วยกันดูแล)

13. เก้าอี้โยกมีผลยังไงกับทารกในครรภ์ ?
มีผลการทดสอบพบว่าช่วยกระตุ้นให้เด็กรับรู้และมีพัฒนาการด้านการทรงตัวได้ดี และยังมีประโยชน์กับผู้สูงอายุที่นั่งเก้าอี้โยกบ่อยจะลดความเสี่ยงของโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

https://www.flickr.com/photos/caharley72/5033796920

14. การพูดคุยกับเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จะส่งผลยังไงบ้าง ?
ช่วยสร้างปฏิสัมพันธ์และกระตุ้นให้เด็กคุ้นเคยกับเสียงของพ่อแม่ (มีการทดสอบในไทย พบว่าลูกจำเสียงพูดและเสียงหัวใจของแม่ได้ตั้งแต่คลอดออกมา – หยุดร้องเมื่อได้ยินเสียงแม่พูด หรือนอนแนบอกแม่ได้ยินเสียงหัวใจแม่เต้น) และเมื่อเปรียบเทียบกับเสียงของพ่อที่ทุ้มกว่า ลูกจะจำได้ดีกว่า

15. คนท้องขึ้นเครื่องบินได้ไหม?
ปกติที่อนุญาติคือช่วงไตรมาส 2 (เดือน 4 – 6) จะมีความเสี่ยงต่ำสุด
แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อบังคับของแต่ละสายการบินด้วย

16. ลูกสะอึก ภายในครรภ์ เกิดจากอะไร เป็นอันตรายหรือไม่?
ส่วนของปอดเริ่มทำงานและเด็กเริ่มกลืนเป็น ไม่อันตรายอะไร

17. การดูแลรักษาฟันในช่วงตั้งครรภ์
คุณแม่ควรไปพบทันตแพทย์ในช่วงไตรมาสสอง (อายุครรภ์ 4-6 เดือน) เพื่อดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรง เพราะการมีฟันผุจะเพิ่มความเสี่ยงในการคลอดก่อนกำหนดได้

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

https://www.flickr.com/photos/mariuswaldal/4004546000

18. ฤกษ์เกิด มีผลต่อความเสี่ยงอะไรบ้าง?
ถ้าฤกษ์ดึกมาก หมอและพยาบาลง่วงนอน ความเสี่ยงคือความปลอดภัยของแม่และเด็ก
ถ้าฤกษ์ระบุเจาะจงเวลามาก เช่นต้องนาทีนี้เป๊ะๆ หมอและพยาบาลต้องทำเผื่อล่วงหน้าเพื่อให้ได้ตามฤกษ์ (เพื่อความยุ่งยากและความเสี่ยงในกรณีที่เกิดเหตุคาดไม่ถึง)

การทำคลอดแบบวิทยาศาสตร์ที่บีบบังคับด้วยความเชื่อ ทำให้ความลำบากตกอยู่ที่ทีมหมอและพยาบาล แต่ความเสี่ยงอยู่ที่คุณแม่และเด็ก

19. น้ำนมแม่จะพอไหม ?
ช่วงแรกที่คลอดต้องรีบกระตุ้นโดยให้ลูกดูดนมแม่บ่อยๆ ซึ่งช่วงแรกจะมีน้อยแต่ก็พอต่อความต้องการและขนาดกระเพาะของเด็ก แล้วร่างกายจะเพิ่มปริมาณการผลิตให้เพียงต่อความต้องการของลูกเอง แต่ถ้าให้ลูกกินนมผง แล้วร่างกายของแม่ไม่โดนกระตุ้นต่อเนื่อง จะทำให้น้ำนมลดลง จนกระทั่งน้ำนมผลิตได้ไม่พอความต้องการ (ดังนั้นถ้าจะให้กินนมแม่ ต้องอดทนช่วงแรก)

การนวดกระตุ้นน้ำนมไม่ควรทำในขณะที่ตั้งครรภ์ เพราะจะทำให้คลอดก่อนกำหนดได้

20. นมแม่ดีต่อลูกยังไง?
นมแม่มีสารอาหารและภูมิคุ้มกันโรคมากกว่านมผงหลายสิบเท่า ไม่เสียเงินซื้อ อุณหภูมิเหมาะกับการกินตลอดเวลา ไม่ต้องใส่ภาชนะเก็บล้าง พกพาสะดวก และสร้างความอบอุ่นและเพิ่มสายใยของแม่ลูกให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

https://www.flickr.com/photos/jstar/1500594337

21. จะเข้าใจเสียงร้องของทารกได้ยังไง?
มีคนวิจัยเรื่องความแตกต่างของเสียงร้องเด็กทารกไว้บ้างแล้วครับ เช่น
“เอะ” = มีลมในท้อง
“อึนเนะ” = หิว
“อาว” = ง่วง
“เฮะ” = เปียก
เป็นต้น

ในปัจจุบัน มีกลุ่ม facebook ของคุณแม่ที่ท้องช่วงเวลาใกล้ๆกัน คอยแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลการตั้งครรภ์เยอะมาก ทั้งคอยอัพเดตข่าวสาร แหล่งซื้อสินค้าของเด็ก อาการและการดูแลตัวเองของคุณแม่ๆ กิจกรรม/workshop ส่งเสริมให้ความรู้ของการเตรียมตัวเป็นคุณแม่อยู่มากมายหลายที่ (ที่มักจะจัดฟรีโดยสปอนเซอร์ของสินค้าเด็กทั้งหลาย) ซึ่งในแง่ดีก็คือมีข้อมูลเพียงพอสำหรับการดูแลตัวเอง แต่บางครั้งข้อมูลที่บางคนส่งต่อมาก็อาจไม่ถูกต้องตามหลักการแพทย์ ดังนั้นขอให้มีวิจารณญาณในการบริโภคข่าวสารอยู่เสมอ

นอกจากนี้บางโรงพยาบาลก็มีเปิดห้องคลอดให้ว่าที่คุณแม่ได้เข้าชมและสอบถามข้อมูล (ต้องติดต่อล่วงหน้า) และมีกิจกรรมอบรมต่างๆที่ช่วยเตรียมความพร้อมในหลายๆด้าน เช่น

โครงการเสริมสร้างคุณภาพทารกในครรภ์ ของคุณหมอ มานิตย์ แสนมณีชัย (โรงพยาบาลหัวเฉียว)
การเลี้ยงดูลูกด้วยนมแม่ ของคุณหมอสุธีรา เอื้อไพโรจน์กิจ
เพจนมแม่แฮปปี้ https://www.facebook.com/HappyBreastfeeding
โครงการคุณพ่อคุณภาพ ของโรงพยาบาลศิริราช
และอื่นๆอีกมากมาย

สุดท้ายนี้ก็ขอให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ทุกคนใช้เวลากับการเตรียมตัวรับลูกน้อยอย่างมีความสุขทุกคนครับ (^^)

@windygallery

ปัญหาขาดแคลนคนฝีมือในตลาดแรงงาน

09 Saturday Aug 2014

Posted by windygallery in IDeas

≈ Leave a comment

Tags

developer, skill, working

https://www.flickr.com/photos/ilikespoons/8395923694

https://www.flickr.com/photos/ilikespoons/8395923694

ช่วงเดือนที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องคนในสายเทคโนโลยีตกงานเยอะกว่าปีก่อน
ซึ่งจริงๆนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเพราะมีข่าวปัญหาการพัฒนาทักษะคนในบ้านเราอยู่เรื่อยๆ
บางคนก็ตั้งกระทู้ไปโทษอาจารย์ โทษมหาวิทยาลัย บางคนก็โทษหลักสูตร
บางคนก็โทษเด็ก …

เรื่องโทษว่าสิ่งโน้นสิ่งนั้นมันไม่ดี พูดไปสามวันก็คงไม่จบ
ว่าแต่มันมีวิธีที่ทำให้มันดีขึ้นบ้างไหม?

หลังจากนั่งเก็บข้อมูลมาพักนึงเพื่อรอให้ไอเดียมันตกตะกอน
ส่วนตัวผมเห็นว่ามันมีเรื่องงน่าสนใจอยู่สามประเด็น
1. ทำไมคนตกงาน
2. ทำไมถึงมีปัญหาเรื่องขาดแคลนทักษะของงานในตลาด
3. ทำไมคนทำงานถึงเปลี่ยนสายงาน

 

เรื่องแรก ทำไมคนตกงาน?

สาเหตุการตกงาน มีหลายแบบมาก ไม่ว่าจะเป็น ทำงานไม่ได้ ทำงานไม่ดี ไม่อยากทำงาน
ไม่ชอบงาน แต่ที่จะพูดถึงในตอนนี้ จะโฟกัสแค่เรื่อง ทำไมไม่ได้งานทำ

ผมเคยสัมภาษณ์รับคนเข้าทำงานอยู่บ้าง และสังเกตเห็นรูปแบบหนึ่งที่พบเจอได้บ่อยในวงการไอที
ซึ่งมีการแข่งขันกันสูง และตัวชี้วัดความสำเร็จขององค์กรที่สำคัญมาก ก็คือ คุณภาพของคนที่มาร่วมทีม

ในสถาวะที่ตลาดร้อนแรง งานชุก สกิลคนทำงานที่บริษัทต้องการ
มักจะเป็นคนมีฝีมือ ที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาพอสมควร
เพื่อที่จะมาช่วยแก้ปัญหา (ย้ำชัดว่าช่วยแก้ปัญหา)
และนำพาองค์กรให้อยู่รอดได้ในสถานการณ์ที่บีบคั้น
ซึ่งแน่นอนว่าในจุดนี้ ค่าตัวของคนทำงานในจังหวะนี้จะสูงกว่าค่าเฉลี่ยอยู่ค่อนข้างชัดเจน
แต่นั่นก็แลกมากับความคาดหวังที่สูงจากองค์กรเช่นกัน (ถ้าทำไม่ได้ก็มีโอกาสเปลี่ยนตัวสูง)

กลับกันในสภาวะที่ตลาดอยู่ตัว คือทำกำไรได้ดีจนถึงพอตัว
โอกาสจะเปิดรับไปถึงเด็กระดับที่ยังไม่มีประสบการณ์
เพื่อมาฝึกฝนเตรียมขยายทีมได้ง่ายกว่าช่วงวิกฤติ
แต่สิ่งที่องค์กรเลือกมักจะดูที่ราคาค่าตัวไม่สูงนัก และดูมีแนวทางที่สามารถพัฒนาต่อยอดได้

และโดยปกติภายในองค์กรจะรู้กันว่าตอนไหนต้องเลือกคนแบบไหนเข้าทำงาน
แต่ในขณะที่ผู้ถูกสัมภาษณ์เข้าทำงานไม่ค่อยจะรู้เลย ผลที่เจอบ่อยก็คือ

คนทำงานยังไม่มีสกิลที่จำเป็นต่อองค์กรขณะนั้น แต่เรียกค่าตัวสูงกว่าที่ควรจะเป็น
(แน่นอนว่าในสถานการณ์เดียวกัน คนอื่นที่อยากได้งานชัวร์กว่า
จะยอมลดค่าตัวเพื่อให้มั่นใจว่าจะได้งาน) มันก็เลยเกิดเคส

มั่นใจตัวเองมาก แต่สกิลไม่ถึงราคา = ตกงาน
สกิลไม่ถึงเหมือนกัน = ราคาพอๆกัน = มีโอกาสได้งานบ้าง
สกิลสูงปรี๊ด ราคาสูง = โดนสกิลต่ำกว่าแต่พอทำงานได้ แย่งงาน

ผลสุดท้ายองค์กรก็เลยไม่ได้คนทำงานที่เหมาะกับสกิลซักที และก็วนลูปหาคนที่เหมาะที่ควรต่อไป . . .

 

https://www.flickr.com/photos/deanmeyers/8642884187

https://www.flickr.com/photos/deanmeyers/8642884187

เรื่องต่อมา ทำไมถึงมีปัญหาเรื่องขาดแคลนทักษะของงานในตลาด

ประเด็นนี้ขอแยกเป็นสองช่วงเวลา คือในช่วงชีวิตการศึกษา และช่วงชีวิตการทำงาน

ต้องยอมรับความจริงข้อนึงของวงการไอทีบ้านเราว่า เทคโนโลยีและทักษะที่ใช้เปลี่ยนไปเร็วมาก
ความรู้เฉพาะทางในด้านที่เคยเรียนไม่เคยทันในตลาดแรงงานและวงการเลย
ไม่ว่าจะเป็นภาษา วิธีการพัฒนา การออกแบบฐานข้อมูล วิธีการตรวจสอบคุณภาพ
ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาขึ้นไปจากเดิมทุกปีๆ ในขณะที่ตำรายังไล่อัพเดตตามหลังอยู่ห่างๆ
สิ่งเดียวที่ยังคิดว่ายังพอใช้ได้อยู่ก็คือ วิธีการในการศึกษาหาความรู้ใหม่ๆและการฝึกฝน
ที่จะช่วยให้ขยับตัวตามโลกทัน(บ้างในบางมุม)

แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่สถาบันการศึกษาจะสามารถสร้างให้กับเด็กทุกคนได้ง่าย
ในเมื่อเนื้อหาก็ถูกบังคับไว้พอสมควร และจำนวนเด็กที่มาก และการให้เด็กเข้าหาก็ทำได้ยาก
เพราะเด็กในระดับมหาวิทยาลัยก็โตแล้ว และมีเรื่อง
ต้องใช้เวลาเพื่อเรียนรู้สิ่งอื่นๆนอกตำราเต็มไปหมด 😛

ถ้าแยกแยะเป็นข้อๆ จุดที่น่าจะพอปรับปรุงได้ มีอยู่หลายเรื่องเช่น

– ตำรา/เนื้อหาไม่อัพเดต ไม่สอดคล้องกับสิ่งที่เป็นจริงในตลาดแรงงานปัจจุบัน
จุดนี้นอกจากตัวอาจารย์ที่ต้องคอยอัพเดตให้ทันสมัยแล้ว ความช่วยเหลือจากรุ่นพี่ศิษย์เก่าที่อยู่ในวงการ
ก็อาจเป็นประโยชน์กับอาจารย์ได้มากในเรื่องของการให้ feedback กลับไปยังสถาบันการศึกษา
ว่าอะไรคือสิ่งที่ตลาดต้องการในปัจจุบันและอนาคต เพื่อจะได้สามารถถ่ายทอดให้นักศึกษา
ในมหาวิทยาลัยได้เตรียมตัวเสียแต่เนิ่นๆ

– วิธีวัดผลการศึกษา การเรียนการสอนส่วนมากวัดผลที่ผลลัพธ์เป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสอบปลายภาค
การพรีเซ็นต์ผลงาน ซึ่งนั่นก็ถือว่าดีในระดับนึงแล้ว แต่ในการทำงานจริง การวางแผนและการแก้ปัญหา
ที่เป็นจุดสำคัญของการทำงานก็มักไม่ถูกนำมาวัดผล ซึ่งทำให้เด็กหลายคนละเลยจนเคยชิน
กับการทำงานแบบขาดการวางแผนที่ดี ทำให้เกิดการทำงานแบบปะผุบ่อยครั้ง
และนิสัยนี้ทำให้ส่งผลเสียต่อระบบที่พัฒนาในระยะยาว

– การอัพเดตเทคโนโลยี ในปัจจุบันมีการรวมกลุ่มของนักพัฒนาและแชร์ไอเดีย เทคนิค
รวมถึงเทรนในวงการบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นงานที่จัดโดยมีสปอนเซอร์เป็นเจ้าใหญ่ในวงการ
หรือขาจรอิสระซึ่งกลุ่มเหล่านี้มักไม่มีค่าใช้จ่าย/ หรือค่าใช้จ่ายต่ำ
แต่ช่วยเสริมทักษะการเรียนรู้ + อัพเดตเทคโนโลยีได้ง่าย
(ซึ่งจุดนี้นักศึกษาควรใส่ใจและลงทุนด้วยตัวเองให้มากกว่าแค่ที่อาจารย์สอนในห้องเรียน)

https://www.flickr.com/photos/preetamrai/3265011939

https://www.flickr.com/photos/preetamrai/3265011939

สำหรับปัญหาขาดทักษะในช่วงชีวิตการทำงาน

ประเด็นสำคัญคือ พอเริ่มเข้าทำงาน ได้รับงานที่มอบหมายชัดเจนแล้ว
ในปกติคุณก็มักจะไม่มีเวลาว่างในการทำงาน เพราะงานมักเยอะกว่าเวลาทำงานเสมอ
(นั่นซินะทำไมต้องเยอะ?)

แต่พอทำงานไปซักระยะหนึ่งจนถึงจุดที่เรียกว่าอยู่ตัว (คือไม่ว่างานอะไรมาก็ทำได้หมด แค่ใช้เวลาเท่านั้น)
แปลว่าทักษะที่คุณมีมันเท่ากับสกิลที่งานจำเป็นต้องใช้แล้ว จุดนี้ก็คือจะเกิด comfort zone
และอาจทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากขยับออกนอกกรอบเดิมๆไปลองศึกษาอะไรใหม่ๆนอกงานเดิมบ้าง

ทำให้พอเวลาผ่านไปความรู้ไม่เพิ่มขึ้น แต่เทคโนโลยีรอบข้างวิ่งนำไปหมดแล้ว พอรู้ตัวอีกทีก็วิ่งไล่ไม่ทัน
กลายเป็นขาดสกิลที่จำเป็นของตลาดในช่วงเปลี่ยนผ่านไปแบบง่ายดาย
(ยกตัวอย่างเทคโนโลยีฝั่งเว็บนี่ผ่านไปสองปีนี่ ก็วิ่งไล่กันตาเหลือกแล้วครับ)

วิธีแก้ไขและป้องกันง่ายๆคือ อย่าหยุดเรียนรู้ครับ หาอะไรใส่หัวเสมอๆ
จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้เยอะเลย

 

https://www.flickr.com/photos/mateus27_24-25/6232593639

https://www.flickr.com/photos/mateus27_24-25/6232593639

เรื่องสุดท้าย
ทำไมคนทำงานถึงเปลี่ยนสายงาน?

ในการทำงานระยะยาว ถ้าเราไม่ตั้งเป้าให้ตัวเองว่าอยากเป็นอะไรในอีกสามปีห้าปีข้างหน้า
แล้วมองย้อนกลับว่ายังขาดอะไรที่ต้องเติมให้เต็ม ชีวิตก็จะปล่อยเวลาให้ล่องลอยไปเรื่อยๆ
(มองในแง่นึงก็ดีนะไม่เครียด) แต่ก็อาจจะทำให้เวลาผ่านไปแล้วสกิลร่วงจากเหตุผลข้อก่อน
พอถึงเวลาต้องทำงานด้วยเทคโนโลยีใหม่ก็เริ่มทำไม่ได้
(ค่อนข้างเป็นความน่าเจ็บปวดของวงการนี้)

ทำให้เกิดอาการเบื่อและเปลี่ยนตัวเองออกไปทำอย่างอื่น หรือย้ายที่ทำงานใหม่ไปเรื่อย
เคสนี้จะเริ่มยากขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ทักษะของงานเก่าไม่ดีมาก สกิลใหม่ยังไม่ค่อยมี
และเจอเปรียบเทียบกับเด็กรุ่นใหม่ที่ค่าตัวต่ำกว่าแต่สกิลถึง ดังนั้นการแทนที่ก็เลยเกิด
แต่เด็กใหม่ก็มักจะยังขาดบางจุดอยู่ ซึ่งไม่ได้อย่างที่คนรับคาดหวัง
ดังนั้นก็เลยเกิดเป็นประเด็นอย่างที่ว่าขาดแคลนแรงงาน(มีฝีมือ)ที่เหมาะกับงาน

วิธีแก้: การวางแผนระยะยาวของตัวเองช่วยได้ในเคสนี้
แต่ที่สำคัญกว่าก็คือ การเรียนรู้ว่าตัวเองชอบอะไร ถนัดด้านไหน และอยากจะทำอะไรจริงๆ
เพราะพอโตขึ้น ไม่มีทางที่จะเรียนรู้งานได้ครบถ้วนทุกมุม ทุกสาย
การทำงานเป็นทีมจำเป็นอย่างมาก สำหรับการขยายองค์กร
ดังนั้นควรจะต้องเลือกสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญเป็นพิเศษและเสริมด้วยสกิลด้านอื่นเป็นองค์ประกอบเติมเต็ม
ที่จะทำให้พร้อมในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานอยู่เสมอๆ

สรุป
1. รู้จักสกิลตัวเอง, present คุณค่าให้เหมาะกับสถานการณ์
2. อัพเดตความรู้อยู่เสมอ, รู้ตัวเมื่ออยู่ใน comfort zone
3. วางแผนให้ตัวเอง เติมสิ่งที่ขาด เสริมสิ่งที่เด่น

Facebook ID

03 Sunday Aug 2014

Posted by windygallery in Developer

≈ 1 Comment

Tags

facebook

เขียนเก็บไว้เป็นประโยชน์ในการพัฒนาต่อยอดซักเล็กน้อย
ถ้าเราเปิด browser แล้วพิมพ์ http://graph.facebook.com/ชื่อโปรไฟล์เนม
เราจะได้ข้อมูลจาก faebook graph api ออกมาอยู่ในรูปแบบ jSON เช่น

{
   "id": "1234567890",
   "first_name": "Rawin",
   "gender": "male",
   "last_name": "Windygallery",
   "locale": "en_US",
   "name": "Rawin Windygallery",
   "username": "windygallery"
}

ซึ่ง id  ก็คือ id ไม่ได้เอาไปใช้ทำอะไรเท่าไหร่
แต่ที่สำคัญและเอาไปใช้ต่อยอดได้คือ facebook id (คนละตัวกันและตัวย่อคือ fbid)
สามารถดูได้จากรูป profile ของตัวเอง (จะมีค่า parameter ตัวนี้)

ยกตัวการประยุกต์ใช้ เช่น ต้องการเอารูปจาก facebook มาใช้งานก็เรียกผ่าน

http://graph.facebook.com/ข้อมูลเฟสบุคไอดี/picture?type=square

ข้อมูลเพิ่มเติม
https://developers.facebook.com/docs/graph-api/reference/v2.0/user/picture

 

Subscribe

  • Entries (RSS)
  • Comments (RSS)

Archives

  • August 2017
  • November 2015
  • August 2015
  • June 2015
  • May 2015
  • April 2015
  • March 2015
  • February 2015
  • January 2015
  • December 2014
  • November 2014
  • October 2014
  • September 2014
  • August 2014
  • July 2014
  • June 2014
  • May 2014
  • April 2014
  • March 2014
  • May 2012
  • February 2011
  • January 2011
  • August 2010
  • June 2010
  • May 2010
  • April 2010
  • February 2010
  • January 2010
  • December 2009
  • November 2009
  • October 2009
  • September 2009
  • August 2009
  • April 2009
  • March 2009
  • November 2008
  • October 2008

Categories

  • Developer
  • Events
  • Games
  • IDeas
  • Love
  • Photos

Meta

  • Register
  • Log in

Blog at WordPress.com.

Privacy & Cookies: This site uses cookies. By continuing to use this website, you agree to their use.
To find out more, including how to control cookies, see here: Cookie Policy
  • Follow Following
    • WindyGallery's Weblog
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • WindyGallery's Weblog
    • Customize
    • Follow Following
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...